แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
มติที่ประชุมใหญ่ของสหกรณ์โจทก์เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อแนะนำของจำเลยในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ ซึ่งเป็นคำแนะนำการปฏิบัติทางบัญชีเพื่อให้การปฏิบัติทางบัญชีของสหกรณ์เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ทั้งชอบด้วยหลักการของสหกรณ์ด้วย เมื่อจำเลยเห็นว่ามติของที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อแนะนำของจำเลยโดยชัดแจ้ง อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับของโจทก์ จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 มาตรา 46 สั่งเพิกถอนมตินั้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งของจำเลยที่ให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ จำเลยในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์โดยอำนาจตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 มาตรา 46ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะที่ใช้บังคับแก่สหกรณ์จำกัดเท่านั้น โดยมุ่งประโยชน์เพื่อควบคุมดูแล กำกับให้การดำเนินการของสหกรณ์จำกัดทุกแห่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นประโยชน์แก่สมาชิกทั้งมวล จำเลยหาได้มีผลประโยชน์ใด ๆ ในสหกรณ์จำกัดไม่ระยะเวลาในการเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์จึงไม่อยู่ในระยะเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 และเมื่อจำเลยได้เพิกถอนมติดังกล่าวก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2538 ของโจทก์ กรณีถือได้ว่าจำเลยได้ดำเนินการภายในระยะเวลาอันสมควรแล้ว ทั้งการกระทำของจำเลยก็มิใช่เป็นการมิได้ใช้บังคับซึ่งสิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/9 จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยเรื่องการเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2537 ตามหนังสือของจำเลยฉบับลงวันที่ 17 มิถุนายน 2538 (ที่ถูก 2539)
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า คำสั่งของจำเลยในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ที่สั่งเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์เกี่ยวกับการจัดสรรกำไรประจำปี 2537 ตามเอกสารหมาย ล.3 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจในการพิเคราะห์และไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของจำเลยในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ได้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผลการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ในปี 2537 ขาดทุนเป็นเงิน99,872.77 บาท แต่เนื่องจากในปีดังกล่าวโจทก์ขายตึกแถวพร้อมที่ดินได้ในราคา2,800,000 บาท เมื่อรวมราคาตึกแถวพร้อมที่ดินโจทก์กลับมีกำไรทางบัญชีเป็นเงิน2,402,376.23 บาท โจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 2 มิถุนายน 2538 ขอความเห็นชอบในการจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี 2537 ต่อจำเลย จำเลยก็มีหนังสือตามเอกสารหมาย ล.2ให้คำแนะนำแก่โจทก์ว่า กำไรสุทธิของโจทก์จำนวน 2,402,376.23 บาท เป็นกำไรที่เกิดจากการจำหน่ายทรัพย์สินถาวรทั้งจำนวน หากไม่มีการจำหน่ายทรัพย์สินแล้วโจทก์จะไม่มีกำไรสุทธิประจำปีที่จะนำมาจัดสรรได้เพราะผลการดำเนินงานตามปกติประสบกับการขาดทุนจำนวน 99,872.77 บาท ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำแนะนำของนายทะเบียนสหกรณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติทางบัญชี เรื่อง การเอาประกันและการจำหน่ายทรัพย์สินถาวรของสหกรณ์ลงวันที่ 20 เมษายน 2516 ตามเอกสารหมาย ล.4ซึ่งได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า ในกรณีที่สหกรณ์มีกำไรจากการขายทรัพย์สินถาวรรวมอยู่ด้วยให้สหกรณ์กันเงินกำไรจากการขายทรัพย์สินถาวรออกก่อนการคำนวณเพื่อจ่ายเป็นเงินโบนัสแก่กรรมการและเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ หรือจ่ายเป็นเงินอื่นใดที่มีผลให้กรรมการและเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ได้รับประโยชน์ จำเลยจึงแนะนำให้โจทก์จัดสรรเป็นเงินสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ ค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิ แต่ต้องไม่เกิน 10,000 บาท และจัดสรรเป็นเงินปันผลตามหุ้นที่ชำระแล้วเป็นเงิน 54,100.60 บาท กำไรสุทธิที่เหลือให้สมทบเป็นเงินสำรองทั้งสิ้น เมื่อจำเลยมีหนังสือแนะนำการปฏิบัติให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.2 ดังกล่าวแล้ว และตามข้อบังคับของโจทก์เอกสารหมาย ล.5 ข้อ 33ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ว่า ที่ประชุมใหญ่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับกิจการของสหกรณ์ซึ่งรวมทั้งในข้อต่อไปนี้(14) พิเคราะห์และปฏิบัติตามข้อบันทึกของนายทะเบียนสหกรณ์ ฯลฯ แต่ที่ประชุมใหญ่ของโจทก์กลับไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อแนะนำของจำเลย โดยในการประชุมใหญ่เพื่อจัดสรรกำไรสุทธิประจำปี 2537 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2538 ได้ลงมติให้นำกำไรสุทธิมาจัดสรรเป็นเงินเฉลี่ยคืนตามส่วนแห่งราคาสินค้าที่สมาชิกได้ซื้อร้อยละ 4 เป็นเงิน435,123.73 บาท จ่ายเป็นเงินโบนัสแก่กรรมการดำเนินการผู้จัดการ และเจ้าหน้าที่ร้อยละ 5 เป็นเงิน 120,118.80 บาท จ่ายเป็นทุนส่งเสริมสวัสดิการแก่เจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ร้อยละ 10 เป็นเงิน 240,237.63 บาท และจ่ายเป็นทุนรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 10 เป็นเงิน 240,237.63 บาท นอกเหนือจากที่จำเลยแนะนำไว้ ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่ามติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อแนะนำของจำเลยซึ่งเป็นคำแนะนำการปฏิบัติทางบัญชี เรื่อง การเอาประกันและการจำหน่ายทรัพย์สินถาวรสหกรณ์เพื่อให้การปฏิบัติทางบัญชีของสหกรณ์ที่มีการเอาประกันและการจำหน่ายทรัพย์สินถาวรเป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปทั้งชอบด้วยหลักการของสหกรณ์ด้วย ดังนั้น เมื่อจำเลยเห็นว่ามติของที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบันทึกข้อแนะนำของจำเลยโดยชัดแจ้ง อันเป็นการขัดต่อข้อบังคับของโจทก์ข้อ 33(14) จำเลยจึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 มาตรา 46 สั่งเพิกถอนมตินั้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการสุดท้ายมีว่า การที่จำเลยสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ดังกล่าวขาดอายุความตามกฎหมายหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า ในกรณีดังกล่าวพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 มิได้กำหนดเรื่องอายุความไว้ ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใกล้เคียงมาใช้บังคับ เมื่อจำเลยมีหนังสือเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ล่วงเลยการลงมติกว่า 1 เดือน จึงขาดอายุความตามกฎหมาย ดังนี้ เห็นว่าคำสั่งของจำเลยที่ให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.3 นั้นจำเลยในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์สั่งโดยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 มาตรา 46 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะที่ใช้บังคับแก่สหกรณ์จำกัดเท่านั้นโดยมุ่งประโยชน์เพื่อควบคุมดูแล กำกับให้การดำเนินการของสหกรณ์จำกัดทุกแห่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นประโยชน์แก่สมาชิกทั้งมวล จำเลยในฐานะนายทะเบียนหาได้มีผลประโยชน์ใด ๆ ในสหกรณ์จำกัดไม่ ระยะเวลาในการเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของโจทก์จึงไม่อยู่ในระยะเวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1195 และเมื่อจำเลยได้เพิกถอนมติดังกล่าวก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2538 ของโจทก์ กรณีถือได้ว่าจำเลยได้ดำเนินการภายในระยะเวลาอันสมควรดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ทั้งการกระทำของจำเลยก็มิใช่เป็นการมิได้ใช้บังคับซึ่งสิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9 จึงไม่ขาดอายุความตามกฎหมายที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน