แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เป็นหุ้นส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียนกู้เงินเขามาแม้เขียนในสัญญากู้ว่า “เอาสิทธิหุ้นส่วนของบริษัทพักตรพริ้งซึ่งผู้กู้มีสิทธิเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง” มาเป็นหลักทรัพย์ประกันก็ดี เงินที่กู้มาก็ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้กู้โดยส่วนตัว การที่พูดว่าเอาสิทธิหรือหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนมาเป็นประกันเงินกู้ในสัญญากู้ที่ทำกันเองนั้น หาก่อให้เกิดเป็นการจำนำหรือบุริมสิทธิในอันที่จะติดตามไปบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของนิติบุคคล ซึ่งเกิดมาภายหลังนั้นไม่ เมื่อผู้กู้ไม่ชำระเงินจนถูกผู้ให้กู้ฟ้องศาล ศาลบังคับให้ชำระแล้วผู้ให้กู้จะไปยึดทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วน ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในภายหลังนั้นไม่ได้
ย่อยาว
คดีเรื่องนี้ สืบเนื่องมาแต่สำนวนคดีแพ่งแดงที่ 1042/2492 ของศาลแพ่ง ซึ่งโจทก์ชนะคดีจำเลย และยึดทรัพย์ไว้แล้ว บัดนี้ผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่า เป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ให้ถอนการยึด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย ที่โจทก์ฎีกาว่ามีอำนาจยึดและบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์รายพิพาทได้ เพราะจำเลยที่ 2 กู้ยืมเงินโจทก์มาเพื่อประโยชน์แก่กิจการห้างหุ้นส่วนเห็นว่า จำเลยกู้ยืมเงินมาก่อน ห้างหุ้นส่วนรายนี้กำเนิดเป็นนิติบุคคลแม้ขณะนั้นจะมีการเข้าหุ้นส่วนกันเพื่อดำเนินกิจการแล้วก็ดี แต่ก็เป็นเพียงห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิได้จดทะเบียน มิได้มีฐานะเป็นบุคคลต่างหากจากตัวจำเลยอย่างใดไม่ การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไป แม้จะเขียนไว้ในสัญญากู้ว่า “เอาสิทธิหุ้นส่วนของบริษัทพักตรพริ้ง ซึ่งผู้กู้มีสิทธิเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง” มาเป็นหลักทรัพย์ประกันก็ดี เงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์ ก็ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยส่วนตัว หาก่อให้เกิดเป็นการจำนำหรือบุริมสิทธิในอันที่จะติดตามไปบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่เกิดมาภายหลังนั้นไป โจทก์มีทางที่จะบังคับคดีเอาจากสิทธิแห่งการเป็นหุ้นส่วนของจำเลยได้อยู่ โดยมิใช่ไปยึดทรัพย์สินเอาจากบุคคลภายนอกโดยตรงเช่นนี้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย โดยพิพากษายืน