คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10115/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ไม่คำนึงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาในคำฟ้องและคำให้การหรือไม่ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งโดยขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นว่าให้พิจารณาคดีใหม่และเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แม้จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้อง แต่ในส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์นั้น จำเลยทั้งสองวางเงินเฉพาะค่าทนายความ ไม่ได้วางเงินค่าตรวจพิสูจน์เอกสารกับค่าคำร้องที่โจทก์เสียไปในระหว่างพิจารณา อันเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองต้องวางเงินให้ครบถ้วน โดยศาลชั้นต้นไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขก่อนจะตรวจรับอุทธรณ์ เพราะไม่ใช่กรณีไม่ชำระหรือชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ประกอบมาตรา 232 เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ให้ครบถ้วน แม้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้ ก็ไม่ทำให้กลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ผู้กู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันร่วมกันชำระเงิน 4,028,460.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 3,689,992.09 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่น
คำแถลงว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในวันเดียวกัน ต่อมามีการออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี
ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีไม่เคยได้รับหมายใด ๆ จากศาล และไม่ได้มาทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาล ลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นลายมือชื่อปลอม คำพิพากษาตามยอมเกิดจากการหลอกลวงโดยบุคคลอื่น จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายนัดแจ้งวันสืบพยาน และไม่เคยมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นางสีชมพู ทายาท ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การที่ศาลอุทธรณ์
ภาค 4 ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 วางหลักในการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางพร้อมกับอุทธรณ์ด้วย โดยไม่ได้คำนึงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเนื้อหาในคำฟ้องและคำให้การหรือไม่ คดีนี้ ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่และยกคำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งโดยขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นว่าให้พิจารณาคดีใหม่และให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าขึ้นศาลหรือค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสองจะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองวางเฉพาะค่าทนายความ 3,000 บาท แต่ยังมิได้วางค่าที่โจทก์ส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์จำนวน 10,000 บาท และค่าคำร้องต่าง ๆ ที่โจทก์เสียไปในระหว่างพิจารณา การวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนอีกฝ่ายตามคำสั่งศาลชั้นต้นถือว่าเป็นหน้าที่ของจำเลยทั้งสองต้องวางให้ครบ หากไม่ครบศาลชั้นต้นไม่ต้องแจ้งให้จำเลยทั้งสองแก้ไขก่อนจะตรวจรับอุทธรณ์ เพราะไม่ใช่กรณีไม่ชำระหรือชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ประกอบมาตรา 232 เมื่อกฎหมายและคำสั่งของศาลชั้นต้นระบุหน้าที่ของจำเลยทั้งสองไว้แล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม แม้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมา ก็ไม่ทำให้กลายเป็นอุทธรณ์ที่ชอบไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share