คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นสินเดิม จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทจะเป็นสินเดิมของโจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบ เช่นนี้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ โจทก์ต้องนำสืบว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นสินเดิมของโจทก์ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2498)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภรรยานายทัด นายทัดตายมา 5 ปีแล้วที่ดินรายพิพาทเป็นสินเดิมของโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอรังวัดที่ดินบางส่วนของโจทก์เพื่อออกตราจองโดยอ้างว่านายทัดได้ขายให้แก่จำเลยนายทัดไม่มีอำนาจที่จะเอาที่ดินสินเดิมของโจทก์ไปขาย จำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินรายพิพาทเลยตั้งแต่อ้างว่าได้ซื้อไว้ จึงขอให้เพิกถอนการขอออกตราจอง

จำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อที่ดินรายพิพาทจากนายทัดโดยสุจริตเปิดเผยและมีค่าตอบแทนได้จดทะเบียนแล้วย่อมได้กรรมสิทธิ์ จำเลยได้จ้างนายทัดดูแลรักษาที่พิพาทแทน ที่ดินที่พิพาทนี้จะเป็นสินเดิมของโจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบ แต่โจทก์และนายทัดได้ครอบครองร่วมกันในขณะซื้อขาย โจทก์ควรทราบถึงการซื้อขาย จำเลยถือว่าโจทก์ได้ยินยอมหรือสละสิทธิ์ให้สามีโจทก์ทำสัญญาซื้อขายได้โดยลำพัง และการซื้อขายเป็นความประสงค์ของโจทก์เอง

ชั้นพิจารณาจำเลยอ้างส่งเอกสารสัญญาซื้อขายคำขอรังวัดรับตราจอง รายงานการรังวัด คำคัดค้านของโจทก์และแผนที่เพื่อออกตราจองรวม 5 ฉบับ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นสินเดิมโจทก์มีหน้าที่สืบก่อนแต่ไม่สืบ ข้อนี้ต้องตกไป ส่วนการครอบครองโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่เคยเข้าครอบครอง จำเลยต่อสู้ว่าได้จ้างสามีโจทก์ดูแลรักษาแทน จึงเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์อยู่เฉพาะเวลาที่สามีโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบ ข้ออ้างของโจทก์ข้อนี้จึงตกไป โจทก์จำเลยรับกันว่านายทัดสามีโจทก์ตายมา 5 ปีแล้ว และโจทก์กล่าวในฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะเจ้าของมา 40 ปีแล้ว ฉะนั้นระหว่างเวลาเมื่อนายทัดตายแล้วนั้น จำเลยไม่ได้ให้การถึง จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบ ต้องฟังว่าโจทก์ครอบครองตลอดมา โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นสินเดิมนั้นจำเลยไม่ได้ปฏิเสธโดยแจ้งชัดเป็นแต่กล่าวว่าไม่ทราบจึงไม่มีประเด็นต่อสู้ ข้อซื้อขายเมื่อโจทก์ปฏิเสธก็เป็นหน้าที่จำเลยนำสืบข้อครอบครองนั้นจำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าได้จ้างนายทัดครอบครองแทนจำเลยไม่ได้สืบว่าที่ที่ซื้อตรงกับที่ที่พิพาทนี้ จึงพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อที่จำเลยให้การว่าทรัพย์รายพิพาทเป็นสินเดิมของโจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบ โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าคำให้การเช่นนี้เป็นคำให้การปฏิเสธ โจทก์ต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ไม่สืบก็ต้องสันนิษฐานว่าเป็นสินสมรส แต่ที่จำเลยว่าซื้อที่พิพาทจากนายทัดนั้นจำเลยไม่มีพยานมาแสดงว่าเป็นที่รายเดียวกับที่พิพาทคำให้การและอุทธรณ์ฎีกาจำเลยประกอบกันฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงได้รับการสันนิษฐานจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367, 1368, 1369, 1370, 1372 ส่วนที่จำเลยให้การว่าให้นายทัดดูแลรักษาแทนและโจทก์เป็นภรรยานายทัดจะอ้างอำนาจปกครองปรปักษ์ไม่ได้นั้น จำเลยไม่ได้นำสืบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน

Share