แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องและคำให้การคดีมีประเด็นหลักที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ การที่ศาลแรงงานกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า คู่ความแถลงรับกันว่าข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่เป็นไปตามคำฟ้อง คำให้การเอกสารท้ายฟ้องท้ายคำให้การ…แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาคดีไปนั้น เห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงย่อมจะเป็นไปตามข้ออ้างข้อหาในคำฟ้องและขณะเดียวกันก็เป็นไปตามคำให้การด้วยไม่ได้ลำพังเอกสารที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นอ้าง ยังไม่เพียงพอแก่การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นในคดี จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยการพิจารณา ต้องย้อนสำนวนไปให้พิจารณาพิพากษาใหม่
ย่อยาว
ศาลแรงงานกลางพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่งขององค์การเหมืองแร่ในทะเลที่ 44/2528 เรื่อง ไล่พนักงานออกจากงาน ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมก่อนถูกพักงาน อัตราค่าจ้างเท่าเดิมโดยมีสภาพการจ้างและสวัสดิการเหมือนเดิม และให้โจทก์มีสิทธิได้รับเงินและประโยชน์ต่าง ๆ ตามฟ้องข้อ 6(4), (5), (6),(8) เสมือนหนึ่งไม่มีการเลิกจ้าง ให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวน 34,198 บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ 1และที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมโดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงสมคบกันช่วยเหลือให้ นายประสิทธิ์แก้วมุงคุณ ผู้ซึ่งไม่มีคุณวุฒิเข้าทำงาน ทั้งได้ช่วยเหลือให้นายประสิทธิ์ได้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อพัสดุเพื่อใช้อำนาจหน้าที่หาผลประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นความจริง ฝ่ายจำเลยให้การว่าโจทก์ได้สมคบกับพวกช่วยเหลือ นายประสิทธิ์ แก้วมุงคุณผู้ซึ่งไม่มีความรู้ให้เข้ามาทำงานเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ได้รับใบสมัครทั้ง ๆ ที่เอกสารแนบใบสมัครไม่ครบ จัดให้มีการสอบสัมภาษณ์ นั่งกำกับการสอบสัมภาษณ์เองแล้วเสนอความเห็นรวบรัดและไม่สุจริตต่อผู้บังคับบัญชา จนผู้บังคับบัญชาหลงเชื่อและรับนายประสิทธิ์เข้าทำงาน และเมื่อมีคำสั่งให้นายประสิทธิ์ทดลองปฏิบัติงาน 6 เดือน ในตำแหน่งช่างเทคนิค 2 กองวิศวกรรม แต่โจทก์กลับช่วยเหลือจัดให้นายประสิทธิ์ทำงานในหน้าที่พนักงานพัสดุตั้งแต่ต้นตลอดมา เป็นการเปิดโอกาสให้นายประสิทธิ์ทุจริตยักยอกเครื่องอะไหล่ไปขายแก่ผู้มีชื่อ ตามคำฟ้องและคำให้การแสดงให้เห็นชัดเจนว่าคดีมีประเด็นหลักที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ ดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 19 ตุลาคม 2530 ว่า “ฯ คู่ความแถลงรับกันว่าข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีอยู่เป็นไปตามคำฟ้อง คำให้การ เอกสารแนบท้ายฟ้อง ท้ายคำให้การในคดีนี้ ฯลฯ”แล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย และพิพากษาคดีไปโดยเพียงแต่พิจารณาจากคำฟ้องและคำให้การและเอกสารที่คู่ความอ้างนั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงย่อมจะเป็นไปตามข้ออ้างข้อหาแห่งคำฟ้องและขณะเดียวกันก็เป็นไปตามคำให้การด้วยไม่ได้ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย คดีมีประเด็นที่ต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงดังจำเลยอ้างหรือไม่ลำพังเอกสารหมาย จ.67 ที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกขึ้นอ้างนั้น ยังหาเพียงพอแก่การที่จะวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นในคดีไม่ คดีจึงปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยการพิจารณา มีเหตุสมควรที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางทำการสืบพยานตามประเด็นที่กำหนดไว้แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามรูปความ