คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ใช้บังคับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 ส่วนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 ยังมิได้ออกใช้บังคับ เมื่อผู้ว่าคดีฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงธนบุรี ศาลแขวง ธนบุรีไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่า คดีมีมูลฐานวิ่งราวทรัพย์ (ซึ่งอยู่ในอำนาจศาลอาญา) และให้ประทับฟ้องไว้ อัยการได้รับสำนวนจากศาลแขวงธนบุรี และพิจารณาแล้วสั่งไม่ฟ้องฐานวิ่งราว คงสั่งฟ้องฐานลักทรัพย์ (ซึ่งเป็นคดีอยู่ในอำนาจศาลแขวง) เมื่อพนักงานอัยการฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ต่อศาลอาญา ศาลอาญาจำต้องรับคดีนี้ไว้พิจารณา (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2503)
ความในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 14 (2) ที่ให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลจังหวัดที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นในศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนั้น ใช้ได้แต่ในระบบที่ศาลแขวงมิได้เป็นศาลไต่สวนความผิดอาญาทั่วไปเท่านั้น
นอกจากราษฎรฟ้องกันเอง แล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ว่าคดีตามความในมาตรา 5 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 เท่านั้น ที่จะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีในศาลแขวงตามพระราชบัญญัตินี้ได้ อัยการหาอาจเป็นโจทก์ในศาลแขวงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ พ.ศ. 2499 นี้ได้ไม่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๐ โดยยื่นฟ้องต่อศาลอาญา และกล่าว มาในฟ้องด้วยว่า คดีนี้ศาลแขวงธนบุรีได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่า คดีมีมูลฐานวิ่งราวทรัพย์ ให้ประทับฟ้องไว้ อัยการได้รับสำนวนจากศาลแขวงและอัยการได้พิจารณาโดยความเห็นชอบจากอธิบดีกรมอัยการ สั่งไม่ฟ้องจำเลย ในข้อหาฐานวิ่งราวทรัพย์และสั่งให้ฟ้องในข้อหาฐานลักทรัพย์
ศาลอาญาสั่งว่า คดีนี้ โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๐ ซึ่งมีกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี และปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง จึงสั่งไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ศาลแขวงตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ ซึ่งได้ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดคดีนี้ คือ ก่อนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น มีระบบวิธีการแตกต่างกันอยู่กล่าวโดยย่อก็คือ ศาลแขวงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ นี้ กฎหมายต้องการให้เป็นศาลไต่สวนเบื้องต้นสำหรับคดีอาญาทุกคดี และผู้ที่จะเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีในศาลแขวงนั้นนอกจากราษฎรฟ้องกันเองแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ว่าคดีตามความในมาตรา ๕ เท่านั้น พนักงานอัยการหาอาจเป็นโจทก์ในศาลแขวงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ นี้ได้ไม่
ระบบการศาลไต่สวนมีอยู่ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้อัยการไปฟ้องหรือสั่งให้ผู้ว่าคดีกลับไปฟ้องคดีเดียวกันที่ศาลแขวงสั่งว่าคดีมีมูลในฐานวิ่งราวทรัพย์นั้นอีกหรือไม่ อำนาจอัยการมีแต่จะยื่นฟ้องยังศาลที่มีอำนาจอื่นนอกจากศาลแขวง คือศาลอาญาหรือศาลจังหวัด แล้วแต่กรณี พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๖ เป็นกรณีให้อำนาจเฉพาะอัยการเป็นพิเศษที่จะฟ้องความผิดอื่นได้เท่านั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ความในพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๑๔ (๒) ที่ให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลจังหวัดที่จะไม่ยอมรับพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นในศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนั้น ใช้บังคับได้แต่ในเฉพาะกรณีที่ศาลแขวงกับศาลจังหวัดมีเขตอำนาจควบคู่กันและทับกันอยู่เท่านั้นระบบที่ศาลแขวงมิได้เป็นศาลไต่สวนความผิดอาญาทั่วไป ซึ่งถ้าอยู่ในระบบนั้น โจทก์จะฟ้องคดีอาญาต่อศาลแขวงหรือศาลจังหวัดก็ได้ กฎหมายจึงให้ดุลยพินิจของศาลจังหวัดไว้ เมื่อคดีนี้เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ใช้บังคับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ ส่วนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓ ยังมิได้ออกใช้บังคับ ระบบการศาลแขวงเป็นระบบศาลไต่สวนเบื้องต้นอยู่ส่วนหนึ่ง
คดีที่ศาลแขวงสั่งมีมูลแล้วจึงไม่มีทางที่จะกลับไปพิจารณาพิพากษาในศาลแขวงนั้นได้อีก
ศาลฎีกาจึงเห็นโดยมติที่ประชุมใหญ่ว่า ศาลอาญา จำต้องรับคดีนี้ไว้พิจารณา ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอาญาประทับรับฟ้องคดีนี้ไว้ พิจารณาพิพากษาต่อไป

Share