คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความในสัญญากู้แล้วระบุให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อเขียนแล้วจำเลยที่ 1ลงชื่อเป็นผู้กู้แล้วบรรทัดต่อมา มีช่องผู้ค้ำประกันไม่มีข้อความอื่นเมื่อจำเลยที่ 2 ลงชื่อในช่องผู้ค้ำประกันก็ย่อมผูกพันตนในการชำระหนี้ที่ผู้กู้กู้ไปนั้นในฐานะผู้ค้ำประกันแล้ว

ย่อยาว

ตามโจทก์ฟ้องโดยเฉพาะที่มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 20,000 บาท จำเลยที่ 2 ค้ำประกัน ถึงกำหนดไม่ชำระจึงมาฟ้องให้ศาลบังคับ

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าไม่ได้กู้เงินโจทก์ เงินที่รับมาเป็นเงินเดือนซึ่งโจทก์จะต้องจ่ายให้จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยกิจการค้าต่างจังหวัดของโจทก์ 15 เดือน คิดเป็นเงิน 22,500 บาทแต่ขอเบิกมา 20,000 บาทก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอเรียกเงิน 2,500 บาทที่ยังไม่ได้มาด้วย

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าเอกสารสัญญากู้ตามสำเนาท้ายฟ้องไม่มีข้อความว่าจำเลยที่ 2 ผูกพันตามอย่างสัญญาค้ำประกัน จึงไม่ต้องรับผิดชอบ

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าความจริงเป็นดังฟ้องของโจทก์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นประกัน จึงให้โจทก์ชนะ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาชี้ขาดในข้อกฎหมายในฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า แม้สัญญาที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อไม่มีข้อความแสดงว่าจำเลยที่ 2 กล่าวผูกพันตนรับผิดต่อโจทก์ เพียงแต่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกัน ก็ผูกพันจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน เพราะสัญญามีข้อความว่าจำเลยที่ 1 กู้ ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 2 ก็ลงชื่อในช่องผู้ค้ำประกันต่อจากลายมือชื่อในช่องผู้กู้ ย่อมเป็นหลักฐานแสดงได้โดยชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อการชำระหนี้ในเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ

ให้พิพากษายืน

Share