คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นครู ได้มีหนังสือร้องเรียนขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนการเงินและการบริหารของโรงเรียน ผู้จัดการและอาจารย์ใหญ่ เพื่อความบริสุทธิ์และเพื่อชื่อเสียงของสถาบันโรงเรียนว่า รายรับรายจ่ายถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ แม้คำร้องจะมีชื่อโจทก์ให้กรรมการสอบสวนบัญชีด้วยก็ตาม คำร้องนั้นก็มิได้กล่าวหาว่าโจทก์ทุจริต ฉ้อโกงเงิน และก็ไม่ได้กล่าวหาว่าบุคคลทั้งสามนี้ร่วมมือกันทุจริตการเงินของโรงเรียน ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
จำเลยได้มีหนังสืออ้างถึงหนังสือฉบับแรก ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยด่วน และให้อายัดเอกสารต่าง ๆ ไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม เป็นการร้องเรียนก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครบังคับเพื่อรักษาผลประโยชน์ขอส่วนรวม เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เป็นการแสดงข้อความและความคิดเห็นโดยสุจริตและชอบธรรมเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปโดยยุติธรรม เพราะจำเลยได้ยื่นคำร้องเรียนไปนานแล้ว จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึง ๒๓ เป็นครูโรงเรียนสมาคมโรงเรียนราษฎร์ จำเลยที่ ๒๔ เป็นครูโรงเรียนสิริศาสน์วิทยาลัย ได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย กล่าวคือ
ก. เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๐๙ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ถึง ๑๖ และ ๒๔ ได้ร่วมกันเขียนคำร้องใส่ความโจทก์ส่งไปยังคณะกรรมการสมาคมโรงเรียนราษฎร์ กองโรงเรียนราษฎร์ อธิบดีกรมวิสามัญ กล่าวหาโจทก์ร่วมกับนายสุภูตเนติลักษณวิจารณ นายนิล เอี่ยมสำอางค์ มีข้อความว่า บุคคลทั้งสามนี้ทำการไม่ดีไม่งามหลายประการอันนำความเสื่อมเสียมาสู่การศึกษาของโรงเรียน ทั้งมีการทุจริต ฉ้อโกงเงินหลายประเภทเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว
ข. วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙ จำเลยที่ ๑ ถึง ๒๔ ได้สมคบกันทำหนังสืออีกฉบับหนึ่งกล่าวอ้างถึงหนังสือที่ยื่นไว้ร้องเรียน และเตือนไปยังเลขาธิการสมาคมครูโรงเรียนราษฎร์ เร่งให้รีบตั้งกรรมการขึ้นสอบสวน ขืนช้าไปผู้ถูกกล่าวหาอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารเพื่อเปลี่ยนรูปคดีเสียได้
ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙ จำเลยดังกล่าวได้ร่วมกันทำคำร้องเรียนกล่าวโทษไปยังอธิบดีกรมวิสามัญขอให้รีบพิจารณาความผิดของผู้ถูกกล่าวหา และได้ระบุข้อความกล่าวร้ายโจทก์ไว้ เช่น โจทก์เก็บเงินค่าเรียนพิเศษวันเสาร์จากเด็กเล็กคนละ ๑๐ บาท แต่จ่ายค่าสอนครูเพียงค่าอาหารเล็กน้อย เงินที่เหลือไม่ส่งเป็นรายได้ของโรงเรียน กล่าวหาว่าโจทก์เก็บเงินรายได้อื่น ๆ ของโรงเรียน แต่มิได้ส่งเป็นรายได้ให้โรงเรียนครบถ้วน กล่าวหาว่าโจทก์ซื้อสิ่งของเข้าห้องสมุด ตู้ใส่หนังสือแพงกว่าห้องตลาด จ่ายเงินไม่ถูกต้องกับความเป็นจริง
การร้องเรียนใส่ความโจทก์ดังกล่าว เป็นเหตุให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเป็นเหตุให้โจทก์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ครูทั่วไป ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏความจริงตามที่คณะครู ๒๔ คนฟ้องร้องกล่าวโทษ การกระทำของจำเลยมีเจตนาร้ายเพื่อหวังให้โจทก์เสียชื่อเสียงและได้รับโทษ ขอให้ลงโทษจำเลย
จำเลยทั้ง ๒๔ คนให้การว่า มิได้กระทำความผิด โจทก์ฟ้องคดีโดยถูกยุแหย่แก้เกี้ยวเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของพวกและตนเอง โจทก์จึงถูกสั่งย้ายไปจากโรงเรียน และพวกของโจทก์บางคนกำลังถูกกรรมการสอบสวนอยู่ คำร้องเรียนของจำเลยแสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาใส่ความโจทก์ มิได้มุ่งร้ายให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นอย่างใด และโจทก์ไม่เสียหาย ถ้าจะเสียหายเพราะโจทก์ทำไม่ดีเอง จำเลยแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือส่วนได้เสียของตนตามทำนองคลองธรรม เพื่อหวังความบริสุทธิ์ของโจทก์กับพวก มุ่งรักษาชื่อเสียงความเจริญของสถาบันการศึกษาร่วมกัน เพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เอกสารตามสำเนาท้ายฟ้องไม่มีข้อความเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชัง เข้าลักษณะเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า คำร้องเรียนของจำเลยเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำร้องเรียนกล่าวหานายสุภูต ผู้จัดการ นายนิล อาจารย์ใหญ่ ขอให้คณะกรรมการบริหารตั้งกรรมการสอบบัญชีการเงินของบุคคลทั้งสองนี้ แม้จะมีชื่อโจทก์ให้กรรมการสอบบัญชีด้วย เกี่ยวกับห้องสมุดและจ่ายเงินค่าสอนพิเศษเด็กเล็ก แต่ในคำร้องก็กล่าวหาว่านายสุภูตจ่ายเงินไม่ถูกต้อง มิได้กล่าวหาว่าทุจริตฉ้อโกงเงินหลายประเภทของโรงเรียน ดังโจทก์บรรยายในฟ้อง และโจทก์ก็มิได้ฟ้องว่าจำเลยร้องเรียนใส่ความโจทก์ว่า โจทก์กับนายสุภูต นายนิล ได้สมคบร่วมกันทุจริตฉ้อโกงเงินของโรงเรียนประการใด ทั้งข้อความตามเอกสารก็มิได้กล่าวหาบุคคลทั้งสามนี้ร่วมมือกันทุจริตเรื่องเงินของโรงเรียนด้วย เอกสารหมายเลข ๑ เท่าที่เกี่ยวกับโจทก์จึงไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโดยประการที่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖
สำหรับเอกสารหมายเลข ๒ เป็นหนังสือคณะครู ๒๐ คน มีถึงเลขาธิการสมาคมครูโรงเรียนราษฎร์ อ้างถึงหนังสือฉบับแรก เป็นการร้องเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครบังคับ เพื่อรักษาประโยชน์ขอส่วนรวมและเพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เป็นการแสดงข้อความและความคิดเห็นโดยสุจริตและชอบธรรม เพื่อให้การสอบสวนได้เป็นไปโดยยุติธรรม เพราะจำเลยได้ยื่นคำร้องเรียนไปแล้วถึง ๑๔ วัน ยังไม่มีการตั้งกรรมการขึ้นดำเนินการประการใด จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙
ส่วนเอกสารหมายเลข ๓ เป็นหนังสือคณะครู ๑๕ คน ร้องเรียนถึงอธิบดีกรมวิสามัญนั้น ก็มิได้กล่าวหาหรือมีความหมายดังโจทก์อ้างในฟ้อง ตามคำร้องหมายเลข ๓ ตั้งข้อสงสัยนายสุภูตคนเดียว เกี่ยวกับรายได้ของโรงเรียนและการจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องกับหลักการ มิได้กล่าวหาโจทก์หรือว่าโจทก์สมคบกับนายสุภูตอย่างไร รวมความว่า การร้องเรียนตามเอกสารท้ายฟ้อง ๓ ฉบับ ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ดังที่โจทก์บรรยายในฟ้อง
พิพากษายืน

Share