คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารที่ทางอำเภอเปรียบเทียบโดยขอรับสัญญาจะซื้อขายที่ดินไปดำเนินการกันทางศาลต่อไป ดังนั้นสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุจำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหายได้
จำเลยฎีกาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ ถึงแม้ว่าชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ แต่ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความผิดกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2513 โจทก์จำเลยตกลงกันทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งมี น.ส.3 แล้วจำนวน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่เศษ ราคา 22,000 บาท โจทก์ชำระเงินในวันทำสัญญา12,000 บาท และจำเลยรับไปถูกต้องแล้ว ส่วนที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนซื้อขาย โจทก์เข้าครอบครองทำนาที่ดินส่วนที่เป็นนา ส่วนที่ดินที่เป็นไร่จำเลยตกลงว่าเมื่อขุดหัวมันสำปะหลังแล้วจะให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ต่อมาจำเลยอ้างว่าจะให้เข้าทำประโยชน์ก็ต่อเมื่อชำระหนี้ที่ค้างแล้วจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนขายให้ โจทก์จึงยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อนายอำเภอบางละมุง นายอำเภอบางละมุงเรียกตัวจำเลยมาไกล่เกลี่ยได้ทำบันทึกตกลงระหว่างโจทก์จำเลยลงวันที่ 10 เมษายน 2516 ว่า เงินที่ค้างชำระอยู่ตามสัญญาโจทก์ไม่ต้องชำระ จำเลยจะโอนที่นาบางส่วนเพิ่มให้ แต่ไม่อาจรังวัดแบ่งแยกกันได้เพราะจำเลยไม่ยินยอมในที่สุดไม่ตกลงกัน จึงยกเลิกบันทึกข้อตกลงนั้น การที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินส่วนที่เป็นไร่มันสำปะหลังประมาณ 5 ไร่ ไม่ยอมจดทะเบียนซื้อขาย จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 500 บาทต่อปี ขอให้บังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 24 ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ให้แก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีละ 500 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษา

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน น.ส.3 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ได้ขายที่นา 5 ไร่เท่านั้น ส่วนที่ไร่ 5 ไร่เศษ จำเลยกับสามียกให้บุตรสาวจำเลยครอบครองทำไร่ก่อนซื้อขายวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินจำเลยไม่ได้ไปด้วย โจทก์มาขอน.ส.3 จากจำเลยแล้วนำไปให้นายปีผู้ใหญ่บ้านเขียนสัญญา แล้วเอามาให้จำเลยลงชื่อโดยไม่อ่านข้อความให้ฟัง นายปีเขียนสัญญาผิดพลาดเพราะไม่เข้าใจความสำคัญแห่งข้อสัญญาจำเลยไม่รู้หนังสือ ด้วยความไว้วางใจโจทก์ว่าเป็นน้องเขยจึงลงชื่อและรับเงิน 12,000 บาทไว้ หากโจทก์เข้าใจว่าจำเลยโอนขาย 10 ไร่ ราคา 22,000 บาทให้โจทก์ ย่อมสำคัญผิดในสารสำคัญอันเป็นเหตุให้สัญญาจะซื้อขายที่ดินเป็นโมฆะ เรื่องที่โจทก์จำเลยตกลงกันที่อำเภอบางละมุง ที่ดินที่จำเลยยอมให้แบ่งแยกเป็นที่นาทั้งหมด แต่โจทก์ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือให้จำเลยด้วยหากไม่ชำระก็ให้โจทก์ได้รับที่ดินน้อยลงตามส่วน ตกลงกันแล้วโจทก์ไม่ปฏิบัติตามโดยจะเอาที่ดินเท่าเดิม แต่ไม่ยอมชำระเงินส่วนที่เหลือ จำเลยไม่ผิดสัญญาเพราะได้ส่งมอบที่นาส่วนที่ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินให้โจทก์แล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง บังคับให้โจทก์ส่งมอบที่นาจำนวน 5 ไร่ ราคา12,000 บาทคืนแก่จำเลยด้วย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยขายที่ดิน น.ส.3 ตามฟ้องให้โจทก์ทั้งแปลง วันทำสัญญาซื้อขายจำเลยอยู่ด้วย ไม่มีการเข้าใจหรือเขียนผิดพลาดในข้อความแห่งสัญญา

ผู้ร้องสอดร้องสอดว่า ผู้ร้องที่ 1 เป็นสามีจำเลยแต่ไม่จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินตามฟ้องได้มาระหว่างอยู่กินกับจำเลย จึงมีส่วนเป็นเจ้าของกึ่งหนึ่ง ผู้ร้องที่ 2 เป็นบุตรผู้ร้องที่ 1 กับจำเลย ได้ครอบครองที่ไร่ 5 ไร่เศษอย่างเจ้าของมาประมาณ 10 ปีเศษแล้วโดยผู้ร้องที่ 1 และจำเลยยกให้ ผู้ร้องที่ 1 ไม่ได้ให้ความยินยอมในการซื้อขายและผู้ร้องที่ 2 ก็มิได้อนุญาตให้ขาย สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ ขอให้ศาลแบ่งที่ดินตามฟ้องออกเป็นสองส่วน และกันส่วนให้ผู้ร้องที่ 1 กึ่งหนึ่งเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ราคาประมาณ 22,000 บาท ยกฟ้องโจทก์เฉพาะส่วนที่ดินที่เป็นไร่ 5 ไร่เศษที่ผู้ร้องที่ 1 มอบให้ผู้ร้องที่ 2 แล้ว

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินตามฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 500 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือ 10,000 บาท แก่จำเลยในวันจดทะเบียนซื้อขายที่ดินด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อที่จำเลยฎีกาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมว่า จำเลยฎีกาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความ ถึงแม้ว่าชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความผิดกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้ และวินิจฉัยเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตกลงกันทำสัญญาจะขายที่ดินจำนวน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ราคา 22,000 บาท ชำระเงินวันทำสัญญา 12,000 บาท ส่วนที่หลือจะชำระในวันจดทะเบียนการซื้อขายต่อมาจำเลยผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินนั้น เห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับที่ดินที่ซื้อขายว่าเป็นที่ดินที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แล้ว ได้แนบสำเนาสัญญาจะซื้อขายที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์มากับฟ้องย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายฟ้อง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้แสดงอาณาเขตความกว้างยาวเนื้อที่ทั้งแปลงไว้โดยชัดเจนว่าที่ดินที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 24 ตำบลโป่ง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 10 ไร่ 62 วา จึงเป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำบังคับ ทั้งข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ดังนั้น ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม กับวินิจฉัยปัญหาที่ว่าสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ระงับไปหรือไม่นั้นว่า ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ว่าโจทก์จำเลยขอยกเลิกข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.4 โดยขอรับสัญญาจะซื้อขายที่ดินไปดำเนินการกันทางศาลต่อไป นายสนาม บุญอากาศพยานโจทก์ซึ่งเป็นปลัดอำเภอบางละมุงและเป็นผู้บันทึกเอกสารหมาย จ.4 กับ จ.5 เบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวนั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.4 แล้ว สิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุจำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหายได้

พิพากษายืน

Share