แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกแล้วจำเลยที่ 1 ได้มอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกเข้าครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมา โดยสัญญาว่าจะโอนสิทธิทางทะเบียนให้ในภายหลังซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แล้ว และต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทไว้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ไถ่คืนภายในกำหนด โดยจำเลยที่ 2 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเลย ทั้งซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้ตนได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบ โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 และบังคับให้จำเลยที่1 จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้ตน จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเอาคืนที่ดินพิพาทที่ตนได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาขายที่นาเนื้อที่ประมาณ ๓๔๐ ไร่ให้โจทก์กับพวกรวม ๕ คนจำเลยที่ ๑ รับเงินไปครบถ้วนแล้วในวันทำสัญญาและยินยอมให้โจทก์กับพวกรวม ๕ คน เข้าครอบครองทำประโยชน์ได้ตั้งแต่วันทำสัญญาและจำเลยที่ ๑ สัญญาจะโอนสิทธิทางทะเบียนให้โจทก์กับพวกภายในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ โจทก์ทั้งห้าจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่นาดังกล่าวโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏว่าเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ๕ แปลงจำเลยที่ ๑ ใช้กลฉ้อฉลนำที่ดินไปขายฝากให้กับจำเลยที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ซึ่งเป็นการสมรู้ร่วมคิดจะไม่โอนที่ดินให้โจทก์ การทำนิติกรรมขายฝากจึงเป็นการโอนที่ดินอันเป็นทางเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินตามฟ้องฉบับลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ บังคับให้จำเลยทั้งสองโอนสิทธิในที่ดินตามฟ้องให้โจทก์กับพวกโดยปลอดภาระติดพันใด ๆ ในที่ดินดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ นำที่ดินพิพาทไปขายฝากให้จำเลยที่ ๒ และมอบสิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งหมดให้จำเลยที่ ๒ ไปนับแต่วันจดทะเบียนขายฝากเมื่อครบกำหนดขายฝากจำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินไถ่ ที่ดินจึงตกเป็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยตกลงขายที่ดินให้โจทก์ ไม่รับรองว่าโจทก์เข้าครอบครองที่ดินการแต่งตั้งตัวแทนมาทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือจึงเป็นโมฆะ ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า นาพิพาทมี ๕ แปลงมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ มีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและนำมาขายฝากกับจำเลยที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ ครบกำหนดจำเลยที่ ๑ ไม่ไถ่คืน นาพิพาทจึงเป็นสิทธิของจำเลยที่ ๒ ครอบครองตลอดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๙ จนถึงปัจจุบัน จำเลยที่ ๒ ไม่รู้เห็นเป็นใจกระทำนิติกรรมขายฝากโดยกลฉ้อฉลกับจำเลยที่ ๑ โจทก์มิได้ครอบครองที่นาพิพาท การกล่าวอ้างในฟ้องและฟ้องของโจทก์เป็นการละเมิดโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ ๒ จึงฟ้องแย้งให้พิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ ผู้เดียว ห้ามโจทก์ทุกคนและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่นาพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๑ ส่งมอบที่นาพิพาทให้โจทก์เข้าครอบครองทำกินตลอดมา จำเลยที่ ๒ กับพวกไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง นิติกรรมขายฝากกระทำลงโดยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ จึงเป็นโมฆะ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนสิทธิของจำเลยที่ ๒ ในที่พิพาท
โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินตามฟ้องรวม ๕ แปลง ระห่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เสียทั้งสิ้น ให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนขายที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่โจทก์ทั้งห้าภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จากข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วดังกล่าว เห็นว่าสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกตามเอกสารหมาย จ.๓ นั้นเป็นสัญญาจะซื้อขาย การที่โจทก์ทั้งห้ากับพวกเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ โจทก์ทั้งห้าอ้างว่าได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตั้งแต่วันได้รับมอบการครอบครองจากจำเลยที่ ๑ โดยใช้ทำนาแจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตามเอกสารหมาย จ.๑๐, จ.๑๑ และ จ.๑๓ ไม่เคยเห็นมีการทำประกาศแจ้งว่าจะทำนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทไปปิดไว้ยังที่ดินพิพาทหรือที่ทำการกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตการปกครองเลยนายเจริญผู้ใหญ่บ้านซึ่งที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปกครองก็เบิกความสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าว จำเลยอ้างว่ามูลเหตุที่จำเลยที่ ๑ ขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ เพราะจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้นายบุญทรัพย์ที่จำเลยที่ ๒ อยู่ นายบุญทรัพย์โอนสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ให้จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ เร่งรัดให้ชำระหนี้จึงขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ ราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยก็มิได้นำนายบุญทรัพย์มาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนว่าได้โอนสิทธิการเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๒ คงมีแต่คำกล่าวอ้างของจำเลยทั้งสองลอย ๆ สำหรับจำเลยที่ ๑ เห็นอยู่แล้วว่าเป็นผู้ใช้สิทธิขายฝากที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริต คำของจำเลยที่ ๑ ไม่มีน้ำหนักจำเลยที่ ๒ อ้างว่า เมื่อซื้อฝากที่พิพาทแล้วได้ให้จำเลยที่ ๑ เช่าทำนา ๒ ปี จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระค่าเช่า จึงฟ้องให้ชำระค่าเช่าแล้วให้นายเอนกบุตรจำเลยที่ ๑ เช่าทำนาต่อมาจนถึงวันฟ้อง แต่จำเลยที่ ๑ กลับว่าเมื่อขายฝากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ แล้วใครจะเป็นผู้ทำนาไม่ทราบ ครั้นตอบทนายจำเลยที่ ๒ จึงว่าเมื่อขายฝากที่ดินพิพาทแล้วได้เช่าที่ดินพิพาททำนา โดยให้นายเอนกผู้เป็นบุตรทำแทนนายเอนกเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว ในข้อที่ว่านายเอนกเข้าทำนาในที่ดินพิพาทนั้น มีแต่คำของนายเอนกปากเดียว เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานของโจทก์ดังยกขึ้นกล่าวแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เชื่อว่าโจทก์ทั้งห้ากับพวกครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมา นายเอนกไม่เคยเข้าทำนาในที่ดินพิพาทเลย จำเลยที่ ๒ คงมีแต่พยานเอกสารแสดงว่าซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑ แล้วให้จำเลยที่ ๑ เช่าทำนา ๒ ปี ต่อมาให้นายเอนกบุตรของจำเลยที่ ๑ เช่าทำนาในอัตราค่าเช่า ๔ ถัง ต่อ ๖๐ ไร่ ตามเอกสารหมาย ล.๑ ถึงล.๑๕ โดยจำเลยที่ ๒ หรือคนที่จำเลยที่ ๒ ให้เช่าที่ดินพิพาทไม่เคยเข้าครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทเลย ทั้งค่าเช่าก็ไม่เคยได้รับชำระต้องฟ้องบังคับให้ชำระค่าเช่าซึ่งเป็นอัตราค่าเช่าที่ต่ำมากอยู่แล้ว ทั้งจากจำเลยที่ ๑ และนายเอนกซึ่งบุคคลทั้งสองเมื่อถูกฟ้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมชำระค่าเช่าให้ แต่จำเลยที่ ๒ ไม่เคยบังคับคดีให้ชำระค่าเช่า คงให้นายเอนกเช่าทำนาต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปในทางว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันทำหลักฐานทางเอกสารให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเลย เป็นการผิดปกติวิสัยของเจ้าของที่ดินพึงกระทำ เชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริตเป็นทางให้โจทก์ทั้งห้าซึ่งอยู่ในฐานะที่จะบังคับให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้ตนได้อยู่ก่อนแล้วเสียเปรียบ โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ และบังคับให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้ตน จำเลยที่ ๒ ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเอาคืนที่พิพาทที่ตนได้มาโดยไม่มีค่าตอบแทนและโดยไม่สุจริตคดีไม่จำเป็นต้องพิจารณาฎีกาข้ออื่น ๆ ต่อไป ศาลฎีกาเห็นด้วยกับผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.