คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175เป็นคดีอาญาแผ่นดิน มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ คดีอาญาที่จะระงับไปเพราะการยอมความนั้นมีได้เฉพาะแต่ความผิดต่อส่วนตัว ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 39(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉะนั้นแม้โจทก์จำเลยจะได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันไว้ก็ไม่ทำให้คดีซึ่งมีข้อหาดังกล่าวข้างต้นระงับไป
จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา ถึงแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ผู้ถูกฟ้องย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย และคำฟ้องในคดีดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จ
คดีที่คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิด และรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนดหนึ่งปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย

ปัญหาแรกจำเลยฎีกาว่า โจทก์จำเลยมีสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันว่าหากจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์หรือบริษัทโจทก์ทั้งหมดแล้ว โจทก์จำเลยจะถอนฟ้องคดีต่าง ๆ ทุกคดีที่มีต่อกันในศาลทั้งหมด รายละเอียดปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดนครราชสีมาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1624/2521 และจำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โดยชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในคดีนี้ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฟ้องเท็จเป็นคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ซึ่งเป็นคดีอาญาแผ่นดินมิใช่ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ คดีอาญาที่จะระงับไปเพราะการยอมความนั้นมิได้เฉพาะแต่ความผิดต่อส่วนตัวดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 39(2)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเท่านั้น เมื่อคดีนี้มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวดังกล่าวแล้วจึงยอมความกันไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงว่าข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่

ปัญหาข้อต่อไป จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยฟ้องโจทก์ต่อศาลอาญาตามคดีหมายเลขดำที่ 11388/2520 นั้น ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าคดีไม่มีมูล โจทก์ยังไม่เป็นจำเลยในคดีดังกล่าว จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและคำฟ้องในคดีดังกล่าวก็ยังไม่ถือว่าเป็นฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เห็นว่า การที่จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญา ถึงแม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ผู้ถูกฟ้องย่อมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายและคำฟ้องในคดีนั้นก็ถือได้ว่าเป็นฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้

คดีนี้คู่ความฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ และคดีนี้เมื่อศาลฎีกาได้พิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วให้รอการลงโทษให้แก่จำเลย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดสองปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share