แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ยิงในระยะ 1 วา ถูกขาเหนือตาตุ่มกระดูกแตก ถ้าตั้งใจฆ่าก็คงยิงถูกที่สำคัญได้ แสดงว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่า เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พยายามฆ่า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2500 เวลากลางวัน จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายอิ้ม ขุนโฉม โดยเจตนาฆ่าให้ตาย หากแต่กระสุนที่จำเลยยิงถูกนายอิ้มที่บริเวณขาขวาเป็นอันตรายแก่กายสาหัสนายอิ้มจึงไม่ตาย เหตุเกิดตำบลท่าฉนวน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การต่อสู้ว่า วันเกิดเหตุ จำเลยทวงเงินจากนายแดงซึ่งเป็นหนี้จำเลยอยู่ แล้วเกิดเถียงกันขึ้น นายแดงใช้มีดฟันจำเลย ๆ วิ่งหนีนายแดง นายอิ้ม คว้ามีดวิ่งไล่จำเลย ๆ ไม่มีทางจะหลบหนีทัน จึงใช้ปืนยิงไปทางหลัง 1 นัดเพื่อป้องกันตัว นายอิ้มเอามีดขว้างจำเลยที่หู จำเลยล้มลงแล้วถูกขว้างด้วยมีดอีกครั้งหนึ่งแล้วต่างก็แยกกันไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เชื่อว่า การทำร้ายกันเกิดขึ้นจากการโต้เถียงกัน รูปคดีน่าสงสัยว่าการที่จำเลยใช้ปืนยิงนายอิ้มอาจทำไปเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่า ในเบื้องต้นคดีฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้ปืนยิงนายอิ้มจริง ที่จำเลยสู้ว่ายิงเพื่อป้องกันตัวนั้น จำเลยนำสืบไม่ได้ตามข้อต่อสู้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี จำเลยให้การภาคเสธ และเมื่อเกิดเหตุแล้วก็ไปแจ้งความให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ ให้ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 6 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ฝ่ายโจทก์นำสืบว่า วันเกิดเหตุ เวลา 14.00 น. ผู้เสียหายกับนายแดงได้ไปดูไม้ที่บ้านนายฟองแล้วได้พบกับนายเพี้ยนที่นั่น นายเพี้ยนได้ว่าจ้างให้คนทั้งสองเลื่อยไม้ ตกลงค่าจ้างกัน 195 บาท แล้วนายเพี้ยนชวนผู้เสียหายกับนายแดงให้ไปบ้านนายเพี้ยน ๆ ได้เอาเงินให้ผู้เสียหาย 100 บาทเป็นการวางประจำ ต่อมามีจำเลยมาที่บ้านนายเพี้ยน จำเลยมีอาการเมาสุรา จำเลยได้เข้าไปพูดค่อย ๆ กับนายเพี้ยนและนางหยีภริยานายเพี้ยน แล้วนางหยีเรียกผู้เสียหายลงไปพูดกันที่พื้นดินหน้าบันไดเรือนว่า ไม่เต็มใจจะให้ผู้เสียหายเลื่อยไม้แล้วจึงขอเงินคืน ผู้เสียหายเรียกนายแดงลงไปปรึกษาแล้วยอมคืนเงินให้นางหยี ต่อจากนั้นจำเลยลงมาข้างล่าง ขณะนั้นผู้เสียหายกับนายแดงนายฟองยังนั่งอยู่ที่พื้นดินหน้าบันไดเรือน จำเลยได้เข้าไปนั่งห่างผู้เสียหาย 1 วาเศษแล้วถามผู้เสียหายว่า กูเอาล้อไปมึงเคืองหรือ ผู้เสียหายตอบว่าเคืองอะไร เงินทองของแก ข้าทำไม่ได้ก็เอาของแกไป จำเลยพูดว่ากูรู้ว่ามึงเคืองกู ผู้เสียหายว่าถ้าแกรู้อย่างนั้น ข้าก็ตายเสียนานแล้ว ทันใดจำเลยลุกขึ้นกระชากปืนที่เหนือตาตุ่มขวา กระดูกแตก จำเลยยิงแล้วก็วิ่งหนีไปทางตะวันตกผู้เสียหายเอามีดเหน็บขว้างตามจำเลยไป แล้วก็ล้มลง ผู้เสียหายให้นายแดงอุ้มไปแจ้งความต่อนายสุนทรผู้ใหญ่บ้าน และไปเอายาใส่บาดแผลที่บ้านนายแหยมกำนัน ได้พบจำเลยที่บ้านนายแหยม จำเลยกำลังมาใส่ยาเพราะมีบาดแผลที่หู
ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุจำเลยไปช่วยงานแต่งงานที่บ้านนายเพี้ยน พบนายแดงกับผู้เสียหายที่หน้าบันไดเรือนนายเพี้ยนจำเลยได้ทวงเงินค่าตกข้าวที่คนทั้งสองเป็นหนี้อยู่ นายแดงบอกให้ไปเอาที่นายลองลูกหนี้ของนายแดง แต่จำเลยบอกให้นายแดงไปเอามาให้ แล้วเกิดโต้เถียงกัน นายแดงลุกขึ้น จำเลยก็ลุกขึ้นบ้างนายแดงกระโดดเข้าเอามีดฟันจำเลย ๆ เอามือรับไว้ มีดถูกมือทั้ง 2 ข้าง จำเลยไม่สู้ ได้วิ่งหนีไป ผู้เสียหายไล่ตามและใช้มีดขว้างถูกจำเลยที่หูทำให้จำเลยล้มลง นายแดงก็ใช้มีดขว้างมาถูกจำเลยที่หัวแม่มือขวา เมื่อผู้เสียหายขว้างจำเลยแล้วไปเก็บมีดจะมาฟันจำเลยอีก จำเลยเห็นว่าจะหนีไม่พ้น จึงชักปืนออกมายิงผู้เสียหาย 1 นัด เพื่อป้องกันตัว แล้วจึงลุกขึ้นวิ่งหนีไปแจ้งความต่อนายแหยมกำนัน ต่อมา 2 นาที ผู้เสียหายกับนายแดงก็มาแจ้งความต่อนายแหยมว่าจำเลยยิงเอาก่อน
ศาลฎีกาพิเคราะห์คำพยานโจทก์จำเลยแล้ว กรณีฟังได้ว่าการทำร้ายกันเกิดจากการโต้เถียงกันก่อนจริง และเชื่อว่าคงจะเกิดจากสาเหตุอย่างที่พยานโจทก์กล่าวมากกว่าอย่างจำเลยว่าเพราะไม่น่าจะทวงหนี้สินกันต่อหน้าชุมชนอย่างนั้น และเหตุเท่าที่จำเลยว่าแล้ว นายแดงก็ไม่น่าจะทำร้ายจำเลยข้อที่จำเลยว่านายแดงได้ฟันจำเลยก่อนก็ไม่น่าเชื่อเพราะบาดแผลที่มือจำเลยเป็นบาดแผลกว้างเพียง 1/4 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร ลึก 1/5 เซนติเมตร เป็นแผลเล็กน้อยไม่สมที่จะถูกฟันด้วยมีดโดยแรง ทั้งในปัจจุบันนั้นก็ไม่มีใครเห็นบาดแผลของจำเลย แม้นายสุนทรผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้ให้การถึงเลย คดีจึงต้องฟังว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายก่อนจริง แล้วผู้เสียหายจึงใช้มีดขว้างจำเลย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายนั้นยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพราะจำเลยยิงไปถูกที่ขาเหนือตาตุ่ม ขณะนั้นจำเลยกับผู้เสียหายอยู่ห่างกันเพียงวาเศษ ถ้าจำเลยตั้งใจจะฆ่าผู้เสียหายแล้วก็คงยิงถูกร่างกายผู้เสียหายในที่สำคัญ ๆ ได้ศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี