แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาส่งสำเนาให้จำเลยทนายจำเลยแถลงว่าตัวความตายไปแล้ว ทนายจำเลยจึงหมดสิทธิเป็นทนายและตัวแทน จึงส่งคืนหมายของศาลและสำเนาฎีกาของโจทก์ ศาลสั่งให้ส่งสำเนาให้โจทก์ทราบ โจทก์ได้ทราบแล้ว เวลาผ่านมา 2 ปี ไม่มีผู้ใดเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลย และโจทก์ไม่ได้มีคำขอเพื่อให้ศาลเรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้มรณะเข้ามาเป็นคู่ความแทน ดังนี้ ถือได้ว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาแทนที่คู่ความฝ่ายมรณะภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 42 ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(3)
หมายเหตุ ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(1)
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาส่งสำเนาให้กับจำเลยศาลได้ส่งหมายนัดกับสำเนาฎีกาของโจทก์ให้แก่พระยาปรีดานฤเบศร์ทนายจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2506 รุ่งขึ้นวันที่ 6 กันยายน 2506 ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่านาย ดี.ซี.นอตต์ จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2506 จึงขอส่งคืนหมายของศาลกับสำเนาฎีกาของโจทก์ เพราะเมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการตายไปแล้วพระยาปรีดานฤเบศร์ผู้เป็นทนายและตัวแทนหมดสิทธิเป็นทนายและตัวแทนแล้ว ศาลสั่งให้ส่งสำเนาให้โจทก์ทราบในวันนั้น โจทก์ได้รับสำเนาคำแถลงและทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วแต่วันที่ 9 กันยายน 2506 ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้เป็นเวลาสองปีแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2 และโจทก์ไม่ได้มีคำขอเพื่อให้ศาลเรียกทายาทหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะเข้ามาเป็นคู่ความแทนดังนี้ ถือได้ว่าคดีนี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาแทนที่คู่ความฝ่ายมรณะภายในกำหนดหนึ่งปีตามมาตรา 42
ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีนี้เสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(3) ให้คืนค่าตัดสินและค่าคำบังคับให้โจทก์