แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ขังจำเลยไว้หรือให้เรียกประกันระหว่างฎีกา แต่ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ประกันได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันและศาลชั้นต้นได้สั่งอนุญาต สัญญาประกันดังกล่าวนี้ยังคงมีผลสมบูรณ์ตลอดถึงคดีอยู่ระหว่างฎีกา เพราะสัญญาประกันในคดีอาญาจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุด เว้นแต่มีการถอน การตาย การผิดสัญญาประกัน หรือศาลสั่งยกเลิก ผู้ประกันจะอ้างว่าได้ทำสัญญาประกันโดยเข้าใจผิดหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2503)
ย่อยาว
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกันจำเลยที่ 1 และที่ 3 และประกันตัวเองโดยทำสัญญาไว้ต่อศาล
ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาผู้ประกันและจำเลยทุกคนไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง (ศาลได้ส่งหมายนัดโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว)ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ประกันรายละ 50,000 บาทและออกคำบังคับให้ชำระค่าปรับตามนี้
ผู้ประกันยื่นคำร้องว่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง และศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา จึงไม่จำเป็นต้องมีการประกัน การที่ผู้ประกันยื่นคำร้องขอประกัน และเข้าทำสัญญาประกันกับศาล จึงเกิดขึ้นโดยความสำคัญผิด ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งปรับและคำบังคับดังกล่าว
ศาลจังหวัดภูเก็ตสั่งว่า เมื่อคดีอยู่ในระหว่างฎีกา ศาลย่อมมีอำนาจสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรกสัญญาประกันที่ผู้ประกันทำไว้ต่อศาล จึงมีผลตามกฎหมาย ให้ยกคำร้อง
ผู้ประกันอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นเรื่องเกิดจากความสำคัญผิด เพราะความจริงไม่มีความจำเป็นจะต้องประกันอย่างไรแล้ว และการที่ศาลทำสัญญาประกันไป นั้นหากผู้ประกันไม่ขอประกัน ศาลคงไม่เรียกประกันและสัญญาประกันคงไม่เกิดมีขึ้นจึงฟังได้ว่าการแสดงเจตนาของคู่สัญญาเป็นไปด้วยความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ สัญญาประกันย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 คำสั่งศาลที่ให้ปรับผู้ประกันจึงไม่มีผลผูกพันผู้ประกัน แล้วศาลอุทธรณ์ยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่า สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ได้โทรเลขบอกไปว่าป่วย แต่โทรเลขไปถึงศาลช้าไป ศาลสั่งปรับเสียก่อนแล้ว จะนับว่าเป็นความผิดของจำเลย (ที่ 3) ที่ไม่ไปศาลตามกำหนดยังไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้ปรับผู้ประกันเสียทั้งหมด และให้คืนโฉนดที่วางประกัน
อัยการจังหวัดภูเก็ตฎีกาว่า ผู้ประกันยังคงต้องรับผิด
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า สัญญาประกันหาได้สิ้นสุดลงเพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีอาญานั้นไม่ มิฉะนั้นแล้วในคดีอาญาทุกรายเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้วก็จะต้องตามจับตัวจำเลยมาเพื่อการพิจารณาของศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาโดยผู้ประกันไม่ต้องรับผิดชอบอย่างไรเสมอไป สัญญาประกันในคดีจะสิ้นสุด ถ้าไม่มีการถอนการตาย การผิดสัญญาประกัน หรือการที่ศาลสั่งยกเลิก ก็ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 118 การที่ผู้ประกันอ้างว่าได้ทำสัญญาประกันไปโดยเข้าใจผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ประกันไม่ได้เข้าใจผิด ผู้ประกันเข้าใจถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายที่บังคับแล้ว การที่ผู้ประกันได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวโดยมีประกันขึ้นมา และศาลได้สั่งอนุญาตก็เป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้วว่า ศาลได้สั่งปล่อยชั่วคราวโดยมีประกัน สัญญาประกันที่ผู้ประกันได้ทำต่อศาลจึงเป็นอันสมบูรณ์ทุกประการ
ที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยถึงการที่จำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้หลบหนี การที่ไม่ได้ไปศาลไม่ใช่เป็นความผิดของจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ผู้ประกันไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลตามสัญญาประกันเมื่อศาลนัดให้นำส่ง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยหลบหนีหรือไม่ หรือเป็นความผิดของจำเลยหรือไม่ และอย่างไรก็ดี ในกรณีนี้ ผู้ประกันไม่ได้นำตัวจำเลยมาส่งศาล และยกเหตุเหล่านี้ขึ้นมาอ้างเพื่อลบล้างหรือลดหย่อนจำนวนเงินตามคำสั่งปรับนั้นแต่อย่างใดเลย ผู้ประกันร้องเป็นประเด็นแต่ข้อเดียวว่า สัญญาประกันไม่ผูกพัน เพราะไม่มีเหตุหรือมูลหนี้ เท่านั้นศาลฎีกาเห็นว่า ศาลไม่มีหน้าที่ที่จะเอื้อมไปวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ไปศาลเพราะอะไร
ศาลฎีกาชี้ขาดว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ปรับผู้ประกันนั้นชอบแล้ว พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับการไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น