คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2477

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร้องขอฟ้องความอย่างอนาถาศาลสั่งอนุญาตอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ อ้างคำสั่งคำร้องที่ 134/2476 อำนาจศาลฎีกา ดุลยพินิจ ข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดมานั้น ศาลฎีกาทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะวินิจฉัยเสียเองได้อ้างฎีกาที่ 845/2476

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอว่าความอย่างคนอนาถาโดยกล่าวว่าโจทก์เป็นภรรยาจำเลย ๆ มิได้เลี้ยงดูโจทก์ให้เป็นธรรม จึงขอให้บังคับจำเลยให้ส่งเงินค่าเลี้ยงดูแก่โจทก์เดือนละ ๕๐ บาท
ศาลแพ่งไต่สวนแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นคนอนาถาไม่มีทรัพย์ที่จะเสียค่าธรรมเนียมจริงทั้งคดีโจทก์มีมูลพอจะว่ากล่าวด้วยจึงสั่งอนุญาตให้โจทก์ว่าความอย่างคนอนาถาได้
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ใช่คนอนาถา ทั้งฟ้องโจทก์ไม่มีมูล
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการยื่นคำร้องขอฟ้องความอนาถานั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้องระวางศาลกับผู้ร้องยังไม่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายหนึ่งโดยตรง อีกฝ่ายหนึ่งจึงไม่มีสิทธิจะคัดค้านได้ เห็นว่าจำเลยอุทธรณ์ไม่ได้ ให้ยกอุทธรณ์จำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่าการยื่นคำร้องขอฟ้องความอนาถานั้นหาใช่เกี่ยวข้องฉะเพาะศาลกับผู้ร้องเท่านั้นไม่ ย่อมเกี่ยวข้องตลอดไปถึงคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งด้วย เพราะตามพ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง ร.ศ.๑๒๗ ม.๑๑๗ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้เกี่ยวข้องในการไต่สวนคำร้องด้วยโดยตรง เพราะเขามีสิทธิที่จะนำพะยานหลักฐานมาหักล้างทางฝ่ายผู้ร้องได้ถ้าศาลยกคำร้องฝ่ายผู้ร้องก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ เมื่อศาลอนุญาตให้ผู้ร้องว่าความอย่างคนอนาถาได้อีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้ด้วย เพราะไม่มีกฎหมายห้าม
ส่วนข้อที่จำเลยขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องอนาถาของโจทก์แลข้อมูลคดีซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้ชี้ขาดนั้นเห็นว่า ศาลฎีกาทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะวินิจฉัยเสียเองได้ เห็นว่าในข้ออนาถานั้นฟังได้ว่าโจทก์เป็นคนอนาถาไม่มีทรัพย์พอจะเสียค่าธรรมเนียมได้แลข้อมูลฟ้องนั้นเห็นว่าจำเลยมิได้เลี้ยงดูโจทก์โดยสมควร จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share