คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยลากจูงเรือโยงมาแล้วทำให้เรือโยงลำท้ายขบวนส่ายเข้าไปชนเรือโจทก์ในเส้นทางเดินเรือของโจทก์โดยไม่มีข้อแก้ตัวอย่างใด และการนั้นก็มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายเรือโจทก์ ฝ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ทำละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นนายท้ายเรือ ได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเรือู้เป็นนายจ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมทั้งดอกเบี้ยฐานรับจ้างจูงลากพ่วงเรือบรรทุกสินค้าของจำเลยโดยปราศจากความระมัดระวัง ชนหัวเรือของโจทก์แตกเสียหาย
จำเลยสู้ว่า จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายทำละเมิด แต่โจทก์ใช้ผู้อื่นถือท้ายเรือโดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังตามควรแก่วิสัย และพฤติการณ์ และขาดความชำนิชำนาญเป็นเหตุให้เรือยนต์โจทก์แล่นมาชนเรือจำเลยเอง จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหาย โจทก์เรียกร้องสูงเกินไป และจำเลยที่ ๓ ตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายท้ายเรือโจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังตามหน้าที่แล้ว จำเลยไม่ใช้ความระมัดระวัง ถือท้ายเรือจนแล่นมาโดนเรือโจทก์ ค่าเสียหายที่จำเลยเรียกร้องเคลือบคลุม และคดีจำเลยขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม แต่การกระทำของฝ่ายโจทก์เป็นผู้ประมาทคนสุดท้าย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๓ ขาดอายุความ ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่ระมัดระวัง จนเรือโยงไปชนเรือโจทก์ จึงต้องรับผิดส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ทำละเมิด พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ และ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ และ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรือโจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแก่เหตุ มิได้ประมาทดังที่จำเลยต่อสู้ ฝ่ายจำเลยลากจูงเรือโยงมาแล้วทำให้เรือโยงท้ายขบวนส่ายเข้าไปชนเรือโจทก์ในเส้นทางเดินเรือของโจทก์โดยไม่มีข้อแก้ตัวอย่างใด และการนั้นมิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายเรือโจทก์ ฝ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายท้ายและได้กระทำไปในทางการของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของเรือผู้เป็นนายจ้าง จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย.

Share