แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายขอเงินมัดจำและเงินค่างวดที่โจทก์จ่ายไปแล้วคืนพร้อมดอกเบี้ยพร้อมกับฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำร้องในเหตุฉุกเฉินขอให้ศาลชั้นต้นยึดหรืออายัดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งอนุญาตในวันถัดไปจำเลยให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญากับฟ้องแย้งว่าการที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่1ก็โดยการอ้างเท็จเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่1ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังนี้มูลหนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมายคือป.วิ.พ.ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากไปจากคำฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยที่1จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่จำเลยที่1จักฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์กับจำเลยทั้งห้า โดยวางเงินมัดจำและชำระค่างวดไปแล้วรวม 1,100,000 บาท ต่อมาจำเลยผิดสัญญาขอให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
พร้อมกับฟ้องโจทก์ได้ยื่นคำร้องในเหตุฉุกเฉินขอให้ศาลชั้นต้นยึดหรืออายัดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วอนุญาตในวันถัดไป
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การปฏิเสธความรับผิด
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งร่วมกันว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นอันเลิกกัน และจำเลยริบเงินที่โจทก์ชำระไว้แล้วได้ทั้งหมด การที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งยึดที่ดินโฉนดที่ 92 ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2526โดยอ้างเท็จว่าเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,701,000 บาท และจำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินดังกล่าวเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อสั่งยึดที่ดินนั้นไว้ ทำให้จำเลยไม่สามารถไถ่ถอนหรือปลดหนี้จำนองจำนวนห้าล้านบาทเศษได้ เป็นเหตุให้จำเลยเสียหายที่ต้องชำระค่าดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อปี หรือวันละ 2,767 บาทจึงขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์วันละ 2,767 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะถอนการยึดโฉนดเลขที่ 92 ของจำเลย ขอให้พิพากษายกฟ้องและบังคับโจทก์ตามฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นคำให้การของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3แต่ไม่รับฟ้องแย้งเพราะไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ของเงินมัดจำและเงินค่างวดที่โจทก์จ่ายไปแล้วคืนพร้อมดอกเบี้ย แต่ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์ เพราะทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถไถ่ถอนหรือปลดหนี้จำนองที่ดินนั้นได้ และทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายเท่ากับที่จะต้องเสียดอกเบี้ยให้ผู้รับจำนองต่อไปอีกวันละ 2,767 บาท นับแต่วันยึด ศาลฎีกาเห็นว่ามูลหนี้ตามฟ้องแย้งเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นอันอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากไปจากคำฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่จำเลยที่ 1 จักฟ้องโจทก์เป็ตดคีต่างหาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 512/2505 ที่จำเลยที่ 1 อ้าง วินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(1) ซึ่งเป็นเรื่องในชั้นบังคับหาใช่สั่งรับหรือไม่รับฟ้องแย้งไม่ รูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.