แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้พนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์ แต่โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์และฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(14) อธิบายคำว่า “โจทก์” ไว้ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ดังนั้น โจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการต่างจึงมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งงดไม่สืบต่อไปให้เสร็จ พนักงานอัยการโจทก์จึงมีสิทธินำสืบต่อไปได้ ศาลอุทธรณ์จึงฟังพยานที่นำสืบต่อไปนั้นวินิจฉัยคดีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนี ได้ใช้อำนาจด้วยกำลังกายฉุดคร่าประทุษร้ายผู้เสียหายให้ไปกับจำเลย ผู้เสียหายขัดขวาง จำเลยจึงใช้อาวุธปืนและกระสุนซึ่งมีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต ยิงทำร้ายผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๔, ๒๘๘, ๓๒ และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ และริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ รับสารภาพในข้อมีอาวุธปืนตามฟ้องไม่รับอนุญาต ส่วนข้อหาฉุดคร่า ในชั้นแรกต่อสู้ว่า ผู้เสียหายนัดแนะให้พาหนี บิดาผู้เสียหายตามไปทันทำท่าจะยิงจำเลยจึงยกปืนขู่ ผู้เสียหายเข้าแย่งปืนจากจำเลย ปืนจึงลั่นถูกผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยที่ ๑ ถอนคำให้การและรับสารภาพตามฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่
นายเหิม ทองแจ้ง บิดาผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมิได้สั่งประการใด
เมื่อสืบพยานโจทก์ได้ ๓ ปาก ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานโจทก์พอวินิจฉัยคดีได้ จึงให้งดสืบพยานที่คู่ความขอสืบแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ รับสารภาพได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง สำหรับจำเลยที่ ๒ พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้สมคบทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๔, ๒๘๘, ๓๒ และพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ อันเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ตลอดชีวิต วางโทษสองในสามส่วนแล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ สิบหกปี จำเลยที่ ๑ รับสารภาพโดยดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ แปดปี ของกลางริบ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
นายเหิม ทองแจ้ง โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่านายเหิม ทองแจ้ง ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งประการใด นายเหิม ทองแจ้ง จึงยังไม่อยู่ในฐานะเป็นโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของนายเหิม ทองแจ้ง
นายเหิม ทองแจ้ง โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า ตามพฤติการณ์ที่ดำเนินมา นายเหิม ทองแจ้ง มีฐานะเป็นคู่ความในคดีนี้แล้ว นายเหิม ทองแจ้ง โจทก์ร่วมมีสิทธิอุทธรณ์ได้ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานของคู่ความนั้น คดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ข้อเท็จจริงยังไม่พอวินิจฉัยชี้ขาดได้ ควรให้สืบพยานโจทก์ที่ขอสืบต่อไปแล้วสืบพยานจำเลยที่ ๒ ตามข้อต่อสู้ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานที่โจทก์ขอสืบ และสืบพยานจำเลยที่ ๒ ด้วย แล้วส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสืบพยานตามคำสั่งศาลอุทธรณ์แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ ๑ และ ๒ ได้ร่วมกันฉุดคร่าพานางสาวเรียมผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร แต่ไม่สำเร็จเพราะนางสาวเรียมดิ้นสะบัดหลุดหนีไปได้เสียก่อน จึงเป็นความผิดเพียงฐานพยายาม ส่วนการใช้อาวุธปืนยิงนั้น เป็นการกระทำเฉพาะตัวของจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ หาได้ร่วมหรือบอกให้จำเลยที่ ๑ ใช้ปืนยิงนางสาวเรียมผู้เสียหายไม่ พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒ ปี นอกจากที่แก้นี้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ๑. คดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ พนักงานอัยการโจทก์ก็พอใจไม่อุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ ๒ จึงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นายเหิมโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ต่อไปนั้น จำเลยที่ ๒ เห็นว่าพนักงานอัยการโจทก์ทำการสืบพยานต่อไปอีกและศาลอุทธรณ์ฟังคำพยานที่พนักงานอัยการโจทก์สืบนั้น ลงโทษจำเลยที่ ๒ เป็นการไม่ชอบ ๒. นางสาวเรียมผู้เสียหายกับเด็กหญิงจิตรเบิกความแตกต่างกันในข้อสำคัญ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้กระทำผิด
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้พนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์ แต่นายเหิม ทองแจ้ง ซึ่งศาลฎีกาได้ชี้ขาดแล้วว่ามีฐานะเป็นโจทก์ร่วม ได้อุทธรณ์และฎีกาต่อมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒(๑๔) อธิบายคำว่า “โจทก์” ไว้ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ดังนั้น นายเหิมโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการต่างจึงมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งงดไม่สืบต่อไปให้เสร็จ พนักงานอัยการโจทก์จึงมีสิทธิ์นำสืบต่อไปได้ ศาลอุทธรณ์จึงฟังพยานที่นำสืบต่อไปนั้นวินิจฉัยคดีได้ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเห็นว่า พฤติการณ์และคำยืนยันของผู้เสียหายมีน้ำหนักให้น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ ได้ร่วมไปฉุดคร่านางสาวเรียมผู้เสียหายจริง คำเบิกความของผู้เสียหายและเด็กหญิงจิตรแตกต่างกันเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของจำเลยนั้น เป็นรายละเอียดเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน จึงไม่ทันเตรียมตัว ประกอบด้วยความตกใจกลัว จึงอาจผิดกันไปได้ จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงกับไม่เชื่อคำยืนยันของผู้เสียหายและพยาน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยลงโทษ จำเลยที่ ๒ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ ๒