คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้เช่านาจะฟ้องคดีขอให้ผู้รับโอนโอนนาที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524โดยผู้เช่าอ้างว่าผู้ให้เช่าขายนาที่เช่าไปโดยไม่แจ้งให้ผู้เช่าทราบนั้นผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายเสียก่อนกล่าวคือต้องมีการร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยเสียก่อนซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา54ของพระราชบัญญัติดังกล่าวหากผู้เช่าไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลก็ต้องอุทธรณ์ต่อไปยังคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดเพื่อวินิจฉัยซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา56ของพระราชบัญญัติดังกล่าวเมื่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่เป็นที่พอใจอยู่อีกผู้เช่าจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลหรือฟ้องศาลได้ตามมาตรา57ของพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่โจทก์ฟ้องคดีนี้อ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังได้กล่าวข้างต้นจึงเป็นการฟ้องคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฎีกาโต้แย้งเฉพาะประเด็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524หรือไม่เท่านั้นแต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งโจทก์มิได้ฎีกามาด้วยจึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นาพิพาทโฉนดเลขที่ 529 ตำบลก้อนแก้ว อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราเนื้อที่ 62 ไร่ 2 งาน 20 ตารางวา โจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ปี 2518 ถึงปี 2530 โดยไม่ได้ทำหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ แต่ได้ชำระค่าเช่าให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2530 จำเลยที่ 1 ได้ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 315,000 บาท โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบซึ่งถ้าจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการจะขายนาพิพาท โจทก์ก็จะซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับประธานคชก.ตำบลก้อนแก้ว อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้ร่วมกันทำหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นาพิพาทของโจทก์ปลอมขึ้น โดยปลอมลายมือชื่อโจทก์ผู้เช่านาในหนังสือดังกล่าวและนำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2531 โจทก์มีหนังสือแจ้งความประสงค์ขอซื้อที่นาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับโอนในราคา 315,000 บาท และนัดหมายให้จำเลยที่ 2 ไปจดทะเบียนขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราในวันที่ 19 มกราคม 2531 จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์แล้วไม่ปฏิบัติตาม การกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินจำนวน 20,000 บาท ขอให้จำเลยที่ 1ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 20,000 บาท กับให้จำเลยที่ 2ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 529 ตำบลก้อนแก้ว อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่โจทก์ในราคา 315,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นายจรูญหรือรอน ปิ่นเจริญ เป็นผู้เช่าทำนาพิพาทโดยตกลงกันว่าถ้าจำเลยที่ 1 ต้องการขายหรือใช้ที่นาพิพาท ผู้เช่าจะต้องคืนที่นาแปลงพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1หรือบุคคลที่รับโอนกรรมสิทธิ์โดยจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆทั้งสิ้น โจทก์ไม่ใช่ผู้เช่า เมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน2530 จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และนายติ๊ดโดยได้บอกกล่าวให้ผู้เช่าและโจทก์ทราบล่วงหน้าแล้ว ซึ่งโจทก์เห็นชอบด้วย จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้สมคบกันจัดทำหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อที่นา การกระทำต่าง ๆ นั้นนายติ๊ดเป็นผู้ดำเนินการทั้งสิ้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 บัญญัติไว้ ข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงยังไม่เกิดขึ้น ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนั้นสูงเกินความเป็นจริงโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย เพราะจำเลยที่ 2ยังให้โจทก์เช่านาพิพาทอยู่เช่นเดิม หากโจทก์จะมีความเสียหายก็ไม่เกินค่าใช้จ่ายในการเสียค่าใช้จ่ายที่ทำนาต่อไปเป็นรายปีให้แก่จำเลยที่ 2 ปีละ 6,800 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ซื้อนาพิพาทโดยสุจริต เปิดเผย และเสียค่าตอบแทน มิได้สมทบกับจำเลยที่ 1 และประชาชน คชก.ตำบลก้อนแก้ว อำเภอบางคล้า ปลอมลายมือชื่อของโจทก์ในหนังสือปฏิเสธไม่ซื้อนาพิพาท จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับรองหนังสือปฏิเสธการซื้อนาพิพาทของโจทก์ เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์ปฏิเสธไม่ซื้อนาพิพาทแล้ว ต่อมาจึงทราบว่าโจทก์ร้องต่อทางอำเภอบางคล้าว่าการซื้อขายนาพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ผู้ขายไม่ได้ปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ร่วมกันฉ้อโกงผู้มีชื่อและจำเลยที่ 2 กล่าวคือจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายนาพิพาทให้แก่ผู้ซื้อ โดยแจ้งแก่ผู้มีชื่อว่าโจทก์เป็นญาติสนิททราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 จะขายนาพิพาทแล้ว และปฏิเสธไม่ซื้อนาพิพาท ผู้มีชื่อจึงตกลงรับซื้อและนำมาเสนอขายต่อให้จำเลยที่ 2 ในราคาไร่ละ 15,000 บาท รวมราคาที่ดินทั้งแปลงเป็นเงินจำนวน 937,500 บาท แต่ระบุราคาในการซื้อขายเพียง 315,000 บาท ตามคำร้องของ จำเลยที่ 1เพื่อเสียภาษีเงินได้ให้น้อยลง การที่จำเลยที่ 1 ให้โจทก์ฟ้องบังคับซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ในราคา 315,000 บาท เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 1 กับโจทก์ก็จะได้รับประโยชน์เป็นเงิน353,750 บาท จำเลยที่ 2 ซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในราคา935,500 บาท หากโจทก์จะซื้อคืน โจทก์จะต้องซื้อในราคาที่จำเลยที่ 2 ซื้อมา จึงจะชอบ ฟ้องโจทก์ไม่ชอบเพราะไม่ร้องขอให้คชก.ตำบลวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทคืนให้แก่โจทก์ก่อนขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้เช่านาจะฟ้องคดีขอให้ผู้รับโอนโอนนาที่เช่าให้แก่ผู้เช่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โดยผู้เช่าอ้างว่าผู้ให้เช่าขายนาที่เช่าไปโดยไม่แจ้งให้ผู้เช่าทราบนั้น ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน กล่าวคือ ต้องมีการร้องขอต่อ “คชก.ตำบล” หรือที่เรียกว่าคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยเสียก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 54 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว หากผู้เช่าไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลก็ต้องอุทธรณ์ต่อไปยัง “คชก.จังหวัด” หรือที่เรียกว่าคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดเพื่อวินิจฉัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งที่ผู้เช่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 56 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อ คชก.จังหวัดวินิจฉัยแล้วยังไม่เป็นที่พอใจอยู่อีกผู้เช่าจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลหรือฟ้องศาลได้ตามมาตรา 57 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่โจทก์ฟ้องคดีนี้อ้างสิทธิตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยบรรยายฟ้องมีใจความเป็นสำคัญว่า โจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาท จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นาพิพาทและเป็นผู้ให้เช่าได้โอนขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ได้ติดต่อขอซื้อนาพิพาทจากจำเลยที่ 2 แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมขายให้ โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 2โอนขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการฟ้องคดีโดยโจทก์มิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังได้กล่าวข้างต้นจึงเป็นการฟ้องคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
อนึ่ง โจทก์ฎีกาโต้แย้งเฉพาะประเด็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หรือไม่เท่านั้น แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลสำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายซึ่งโจทก์มิได้ฎีกามาด้วย จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าขึ้นศาลให้แก่จำเลย 500 บาท

Share