แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยลงชื่อและลงวันที่ย้อนหลังในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านเป็นการกระทำในระหว่างที่จำเลยย้ายไปรับราชการที่อำเภออื่นแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่อย่างใดที่กิ่งอำเภอเดิมอีก และการลงวันที่ย้อนหลังนั้น จำเลยมีเจตนาให้เห็นว่าบุคคลเข้ามามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านระหว่างที่จำเลยรับราชการอยู่ที่กิ่งอำเภอเดิม ซึ่งไม่เป็นความจริงการกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารราชการ และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปอ้างและแสดงต่อ ฉ. เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพทำบัตรประจำตัวประชาชน จน ฉ. เชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้ถ่ายภาพและออกใบแทนบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บุคคลนั้นไป ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้เอกสารราชการปลอมแล้ว
จ.เป็นคนสัญชาติลาวและจำเลยพาไปทำบัตรประจำตัวประชาชนเป็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมิให้ถูกจับกุม
การที่จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารก็ดี ใช้เอกสารปลอมก็ดีก็เพื่อช่วยเหลือคนต่างด้าวให้มีบัตรประจำตัวเช่นเดียวกับคนสัญชาติไทย ซึ่งการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อมิให้ถูกจับกุมอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2493 มาตรา 63 อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วย มาตรา 265 ซึ่งเป็นบทหนัก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท หลายกระทง กล่าวคือ จำเลยบังอาจปลอมเอกสารราชการโดยเพิ่มเติมชื่อของบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาว ๓ คน คือนายอนุรักษ์ พัฒนะนิยม นายเดช วรนุช และนางจิตร ศิริสุข และเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ และความเกี่ยวพันกับหัวหน้าครอบครัว วันเดือนปีเกิด สัญชาติ ชื่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิด และสัญชาติบิดามารดาผู้ให้กำเนิดบุคคลทั้งสามดังกล่าวลงในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ ๑๒๔ หมู่ที่ ๗ ตำบลโซ่ กิ่งอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง แล้วจำเลยเขียนลายมือชื่อย่อของจำเลยกำกับลงในช่องลงชื่อนายทะเบียนพร้อมทั้งเขียนวันเดือนปีย่อกำกับไว้ใต้ลายมือชื่อย่อของจำเลยย้อนไปเป็นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๑๕ ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมายเลข ๑ และหมายเลข ๒ ท้ายฟ้อง ทั้งนี้ จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่อันจะกระทำได้ และจำเลยได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงที่จำเลยกระทำขึ้นในระหว่างจำเลยเคยดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอประจำกิ่งอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย เมื่อจำเลยได้ปลอมทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านขึ้นแล้ว จำเลยได้บังอาจนำเอาเอกสารดังกล่าวทั้ง ๒ ฉบับไปใช้และอ้างต่อนายแฉล้ม รัตนชัย เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปทำบัตรประจำตัวประชาชนประจำกิ่งอำเภอโซ่พิสัยว่าเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง ขอให้นายแฉล้ม รัตนชัยออกใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนและถ่ายรูปเพื่อทำบัตรดังกล่าวให้แก่บุคคลทั้งสามซึ่งมีสัญาชาติลาวที่มีชื่อปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้านทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าวในฐานะเป็นคนไทย และจำเลยได้พาบุคคลทั้งสามไปพบนายแฉล้ม รัตนชัย ในขณะนั้นด้วย นายแฉล้ม รัตนชัยหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงออกใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนและถ่ายรูปเพื่อทำบัตรดังกล่าวให้แก่บุคคลทั้งสามตามที่จำเลยขอ การปลอมและการใช้เอกสารดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่นายแฉล้ม รัตนชัย ตลอดจนนายทะเบียนตำบลโซ่ กิ่งอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย กรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย นอกนากนี้จำเลยยังบังอาจช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวทั้งสามซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองเพื่อมิให้ถูกจับกุม โดยจำเลยปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือบุคคลสัญชาติลาวทั้งสามคนนั้นมีบัตรประจำตัวประชาชนของคนสัญชาติไทยไว้ใช้ประจำตัว เพื่อป้องกันมิให้ถูกเจ้าพนักงานจับกุมไปดำเนินคดีตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔,๒๖๕,๒๖๘ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๖๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีควาผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕,๒๖๘ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๘ กระทงเดียว จำคุก ๑ ปี และผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อมิให้ถูกจับกุมตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๖๓ จำคุก ๖ เดือน รวมจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน คำเบิกความของจำเลยในชั้นศาลประกอบกับจำเลยเป็นข้าราชการเคยทำประโยชน์แก่ทางราชการมาก่อน ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลย ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดบานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอมจริงหรือไม่ กับจำเลยกระทำผิดฐานให้ความช่วยเหลือคนต่างด้าวมิให้ถูกจับกุมจริงหรือไม่ ในเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารราชการปลอมนั้น จำเลยได้เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อและลงวันเดือนปีในช่องนายทะเบียนตามทะเบียนบ้านฉบับของที่ว่าการกิ่งอำเภอโซ่พิสัยเอกสารหมาย จ.๑ และสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.๒ ในรายการช่องบุคคลที่ ๙, ๑๐ และ ๑๑ จริง แต่จำเลยเบิกความต่อสู้ว่าจำเลยได้เป็นผู้เขียนและลงชื่อไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ความข้อนี้โจทก์มีพยานคือนายสมพร มังศรี กำนันตำบลโซ่และเป็นนายทะเบียนตำบลทั้งเป็นเจ้าของบ้านตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.๒ ว่าเมื่อวันอาทิตย์ของเดือนกันยายน ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยย้ายจากกิ่งอำเภอโซ่พิสัยไปรับราชการที่อำเภอโพนพิสัยแล้ว จำเลยได้มาที่บ้านของนายสมพร ขอยืมสำเนาทะเบียนบ้านของนายสมพรตามเอกสารหมาย จ.๒ ไป โดยอ้างว่าจะเอาไปตรวจสอบกับทะเบียนบ้านฉบับที่อำเภอ นายสมพรยืนยันว่าขณะที่มอบให้จำเลยไปนั้น มีชื่อบุคคลในสำเนาทะเบียนบ้านเพียง ๘ คน จากบุคคลที่ ๑ ถึงบุคคลที่ ๘ เท่านั้น รุ่งขึ้นจึงทราบจากนายเรียบ บุญรินทร์ เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเขตหนองคายว่าเห็นคน ๓ คน มีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านของนายสมพรเพิ่มขึ้น โดยบุคคลที่เพิ่มขึ้นนี้ไปถ่ายรูปและทำบัตรประจำตัวประชาชน ณ ที่ว่าการกิ่งอำเภอโซ่พิสัย นายสมพรสงสัยจึงไปตรวจสอบดูทะเบียนบ้าน ณ ที่ว่าการกิ่งอำเภอดังกล่าวก็พบว่ามีการเพิ่มชื่อนายอนุรักษ์ พัฒะนิยม นายเดช วรนุช และนางจิตร ศิริสุข เป็นบุคคลที่ ๙,๑๐ และ ๑๑ ลงในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้าน เอกสารหมายเลข จ.๑ และ จ.๒ จริง ทั้งนายสมพรจำได้ว่าในช่องนายทะเบียนและลายมือชื่อเพิ่มชื่อบุคคลดังกล่างเป็นลายมือของจำเลย โดยลงวันที่ย้อนหลังเป็นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๑๕ ซึ่งตามวันที่ดังกล่าวจำเลยยังเป็นปลัดอำเภออยู่ที่กิ่งอำเภอแห่งนี้ นอกจากนี้ได้ความจากนายเรียบ บุญรินทร์ หัวหน้าชุดข่าวสารเคลื่อนที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในเขตหนองคาย สิบตำรวจโทโอกาส นาไพรวรรณ ว่าเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๘ เวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกาซึ่งเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ บุคคลทั้งสองนั่งสนทนาอยู่ที่ชั้นล่างของที่ว่าการกิ่งอำเภอโซ่พิสัย มีรถยนต์เก๋งมาจอดข้างที่ว่าการกิ่งอำเภอ มีคนนั่งในรถรวม ๕ คนทั้งคนขับ เป็นหญิง ๑ คน พยานโจทก์ทั้งสองรู้จักจำเลยคนเดียว จำเลยเดินเข้าไปในที่ว่าการกิ่งอำเภอ จำเลยบอกนายเรียบว่ามาย้ายทะเบียนบ้าน จำเลยเดินขึ้นไปชั้นบนครู่หนึ่งกลับลงมาแล้วเดินออกจากที่ว่าการกิ่งอำเภอไปยังบ้านพักของที่ว่าการ อีกประมาณ ๒๐ นาที จำเลยกลับมาพร้อมกับนายแฉล้ม รัตนชัย ความตอนนี้นายแฉล้มเบิกความว่าตนทำหน้าที่ผู้ช่วยแผนกบัตรประจำตัวประชาชน มีหน้าที่ถ่ายรูปผู้มาขอบัตร ล้างฟิล์มและส่งฟิล์ม ในเดือนกันยายน ๒๕๑๘ ประมาณกลางเดือนเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกาเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ นายแฉล้มอยู่ที่บ้านพัก จำเลยไปเรียกนายแฉล้ม บอกว่าให้ไปถ่ายรูปทำบัตรให้ญาติ ๓ คน บอกให้ไปทำเร็ว ๆ นายแฉล้มถามว่ามีหลักฐานทางทะเบียนหรือไม่ จำเลยตอบว่ามี นายแฉล้มจึงไปที่ว่าการกิ่งอำเภอพร้อมจำเลย พบผู้มาขอบัตรประจำตัวประชาชน ๓ คน เป็นชาย ๒ คนหญิง ๑ คน จำเลยยื่นสำเนาทะเบียนบ้านฉบับของนายสมพร กับฉบับของที่ว่าการกิ่งอำเภอให้ตรวจดูและบอกว่าคนที่มาขอทำบัตรคือนายอนุรักษ์ นายเดช และนางจิตร ในที่สุดนายแฉล้มได้ถ่ายรูปให้บุคคลทั้งสามแล้วมอบใบรับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชน (แบบ บ.ป.๒) ให้บุคคลทั้งสามไป จำเลยกลับไปพร้อมกับบุคคลทั้งสาม ตอนนั้นมีนายเรียบและสิบตำรวจโทโอกาสอยู่ด้วย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งคือนายอุดม บูรณปิยะวงศ์ซึ่งขณะเกิดเหตุรับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอหัวหน้ากิ่งอำเภอโซ่พิสัยเบิกความว่า จำเลยย้ายไปจากกิ่งอำเภอโซ่พิสัยไปอยู่อำเภอโพนพิสัยก่อนเกิดเหตุนานประมาณ ๓-๔ เดือนแล้ว ในช่องนายทะเบียนตามเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ พยานจำลายมือได้ว่าเป็นจำเลย โดยลงย้อนหลังไปเป็นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๑๕ และในช่องย้ายเข้าของเอกสารดังกล่าวไม่มีหลักฐานการย้ายเข้าของบุคคลทั้งสาม คงทิ้งว่างไว้อันเป็นการไม่ถูกต้องและบุคคลทั้งสามซึ่งอยู่ในลำดับที่ ๙,๑๐ และ ๑๑ นั้น มีชื่ออยู่ภายหลังบุคคลลำดับที่ ๘ ของเอกสารดังกล่าวแต่ตามวันเดือนปีที่เข้ามาอยู่ กลายเป็นเข้ามาอยู่ก่อนบุคคลลำดับที่ ๘ เห็นว่าไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน จากหลักฐานพยานโจทก์ดังกล่าวเห็นว่าโจทก์นำสืบมั่นคง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้มาลงชื่อแลงลงวันที่ย้อนหลังในทะเบียนบ้านและสำเนาทะเบียนบ้าน เป็นการกระทำในระหว่างที่จำเลยย้ายไปรับราชการที่อำเภอโพนพิสัยแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจหน้าที่อย่างใดที่กิ่งอำเภอโซ่พิสัยอีก และการลงวันที่ย้อนหลังนั้น จำเลยมีเจตนาจะให้เห็นว่าบุคคลทั้งสามเข้ามามีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านระหว่างที่จำเลยรับราชการอยู่ที่กิ่งอำเภอโซ่พิสัยซึ่งไม่เป็นความจริง ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยลงชื่อและเขียนข้อความในเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕ และนำสืบว่าเหตุที่ทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ มิได้ลงรายการว่าบุคคลทั้งสามย้ายมาจากที่ใดนั้นเพราะจำเลยลืมไป เห็นว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น ประกอบทั้งพยานจำเลยคือนายอนันต์ แจ้งกลีบ และนายอำเภอโพนพิสัยเบิกความว่าการย้ายบุคคลเข้ามาในทะเบียนบ้านของผู้อื่นต้องให้เจ้าบ้านยินยอมด้วย ถ้าไม่ยินยอมนายทะเบียนจะเอาเข้าทะเบียนไม่ได้และไม่ยอมลงชื่อให้ ตามปกติเมื่อเพิ่มชื่อในทะเบียนบ้านแล้ว นายทะเบียนจะต้องลงหลักฐานว่าย้ายมาจากที่ใดเมื่อใดด้วยโดยลงชื่อและวันที่กำกับไว้ ตามเอกสารหมาย จ.๑ และ จ.๒ ไม่มีรายการว่าย้ายมาจากที่ใด ฉะนั้นการกรอกชื่อบุคคลลำดับที่ ๙,๑๐ และ ๑๑ ในเอกสารดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องพยานจำเลยดังกล่าวเจือสมกับพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าเสมียนได้นำใบแจ้งย้ายมาเสนอต่อจำเลยก่อนที่จำเลยจะลงชื่อในช่องนายทะเบียนนั้นก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยได้อ้างเสมียนผู้นั้นมาเป็นพยาน ข้ออ้างของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมแปลงเอกสารราชการ และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปอ้างและแสดงต่อนายแฉล้ม เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพทำบัตรประจำตัวประชาชน จนนายแฉล้มเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้ถ่ายภาพและออกใบแทนบัตรประจำตัวประชาชน จนนายแฉล้มเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้ถ่ายภาพและออกใบแทนบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บุคคลทั้งสามไป ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้เอกสารราชการปลอมจริงดังฟ้อง ส่วนข้อหาช่วยเหลือคนต่างด้าวโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองเพื่อมิให้ถูกจับกุมนั้น จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าบุคคลทั้งสามเป็นคนไทย เดิมอยู่หมู่บ้านน้ำแป ตำบลรัตนวาปี อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.๑ ทั้งยังมีหนังสือของผู้ใหญ่บ้านน้ำเปถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดหนองคายแนบหนังสือรับรอง ๑ ฉบับว่าบุคคลทั้งสามเกิดที่บ้านน้ำเป เป็นบุคคลมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดตามเอกสารหมายเลข ล.๒ และ ล.๓ ความข้อนี้เห็นว่าเฉพาะสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.๑ นั้นออกให้โดยนายประเวศ นาคเสน นายทะเบียนอำเภอ อำเภอโพนพิสัยมีข้อสังเกตว่าเพิ่งออกให้เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๐ หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายอนันต์ นายอำเภอโพนพิสัยพยานจำเลยเบิกความว่า บุคคลทั้งสามในเอกสารหมาย จ.๑๓ หรือไม่นายอนันต์ไม่ทราบ แต่กลับยืนยันว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยได้ย้ายไปอยู่ที่อำเภอโพนพิสัยแล้ว ไม่มีอำนานหน้าที่ที่กิ่งอำเภอโซ่พิสัยอีก พยายจำเลยปากนี้นอกจากไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยแล้ว ยังเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์อีกด้วย ส่วนเอกสารหมาย ล.๒ และ ล.๓ เป็นหนังสือส่วนตัวจากนายพรหมมา ธงชัย ผู้ใหญ่บ้านน้ำเปเขียนถึงศาลจังหวัดหนองคายแนบหนังสือรับรองว่าบุคคลทั้งสามเกิดที่บ้านน้ำเป แต่เอกสารทั้ง ๒ ฉบับนี้จะเป็นลายมือชื่อของนายพรหมมาจริงหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัยเพราะลายมือที่เขียนทั้งหมดกับลายมือชื่อนายพรหมมา ผิดแผกแตกต่างกันมาก แสดงว่าผู้เขียนกับผู้ลงชื่อเป็นคนละคนกัน ทั้งนายพรหมมามิได้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยในชั้นศาล คงมีแต่นายศักดิ์ชัย สีไพรงาม อดีตผู้ใหญ่บ้านมาเบิกความว่า นายพรหมมาถึงแก่กรรม ๓-๔ เดือนมาแล้ว เคยเห็นลายมือชื่อของนายพรหมมาและลายมือชื่อในเอกสารหมาย ล.๓ เป็นลายมือชื่อของนายพรหมมาจริง แต่เป็นคำเบิกความลอย ๆ ไม่มีหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน และไม่มีหลักฐานเกี่ยวแก่การถึงแก่กรรมอันเป็นเอกสารของทางราชการมาแสดงต่อศาล ทั้งนายศักดิ์ชัยเองยังเบิกความว่า บุคคลตามสำเนาทะเบียนบ้านหมายเลข ล.๑ ซึ่งนายหนูดำ ศรีสุหาเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น บ้านดังกล่าวถูกน้ำเซาะตลิ่งพังไปแล้ว ครอบครัวนี้ทั้งหมดจึงย้ายไปอยู่ประเทศลาว ๓-๔ ปีมาแล้วดังเอกสารหมาย ล.๑ ถึง ๓ ที่จำเลยอ้างมา เมื่อเปรียบเทียบกับสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๓๐๐/๒๕๑๙ ของศาลจังหวัดหนองคายซึ่งพนักงานอัยการฟ้องนางจิตร ศิริสุข ฐานเป็นคนต่างด้าวหลบหนี้เข้าเมืองโดยโจทก์อ้างมาเป็นพยานในคดีนี้ เห็นว่าหลักฐานฝ่ายโจทก์มั่นคงดีกว่า เพราะนางจิตรให้การรับสารภาพต่อศาลว่าเป็นคนต่างด้าว เชื้อชาติลาว สัญชาติลาว ได้เดินทางเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้ผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษ คดีถึงที่สุดแล้ว แม้จะไม่ได้นายอนุรักษ์กับนายเดชมาฟ้องด้วยก็ตาม เพียงแต่ได้ตัวนางจิตรแต่เพียงผู้เดียวมาดำเนินคดีต่อศาล ก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะฟังว่าจำเลยช่วยเหลือของคนต่างด้าวจริงดังโจทก์ฟ้อง ทั้งได้ความจากร้อยตำรวจเอกเทียบ โลหะปาน พนักงานสอบสวนคดีนี้ว่าเมื่อจับตัวนางจิตรได้ สอบสวนนางจิตรก็รับว่าเป็นคนลาวตามเอกสารหมาย จ.๒๔ จึงจัดให้มีการชี้ตัวจำเลย นางจิตรชี้ตัวจำเลยถูกต้องและยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้พาไปทำบัตรประจำตัวประชาชน ปรากฏตามบันทึกการชี้ตัวเอกสารหมาย จ.๖ ส่วนนายอนุรักษ์กับนายเดชได้หลบหนีไป ยังจับตัวไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางจิตร ศิริสุข
เป็นคนสัญชาติลาวและจำเลยพาไปทำบัตรประจำตัวประชาชนเป็นการช่วยเหลือคนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองเพื่อมิให้ถูกจับกุมจริงดังฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารก็ดี ใช้เอกสารปลอมก็ดี ก็เพื่อช่วยเหลือคนต่างด้าวให้มีบัตรประจำตัวเช่นเดียวกับคนสัญชาติไทย ซึ่งการกระทำความผิดดังกล่าวนี้เป็นความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อมิให้ต้องถูกจับกุม อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๖๓ อีกบทหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๕,๒๖๘ และผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเพื่อมิให้ถูกจับกุมตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๔๙๓ มาตรา ๖๓ แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘ ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี ฯลฯ