แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทางภารจำยอมกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตรซึ่งเจ้าของภารยทรัพย์มีเจตนาโดยชัดแจ้งที่จะให้ใช้ทางนี้เป็นทางเดินเข้าเท่านั้น และโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ก็รู้เจตนาดังกล่าวดีอยู่แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์จะใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกในทางภารจำยอมอันจะต้องใช้ทางกว้างขึ้นจึงเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ แม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะมีรถยนต์เป็นเหตุให้ให้โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ผ่านทางภารจำยอม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 และ 1389
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ โจทก์ใช้ผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมา พ.ศ. 2518 จำเลยทำรั้วและประตูกั้นปิดทางเข้าออกโจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเอารถยนต์เข้าออกได้ตามปกติ ต้องนำไปฝากสถานบริการ เสียค่าใช้จ่ายเดือนละ 100 บาท ขอศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดกั้นปากทางภารจำยอมให้หมดเพื่อให้โจทก์เอารถยนต์เข้าออกได้โดยสะดวก ให้จำเลยชำระเงิน 1,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 100 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะเอารถยนต์เข้าออกได้โดยสะดวก
จำเลยให้การว่า ทางภารจำยอมเป็นทางเดิน ต่อมาปี พ.ศ. 2518 เกิดน้ำท่วม จำเลยจึงราดปูนซิเมนต์และทำประตูเข้าที่ดินของจำเลยโดยความรู้เห็นของโจทก์ ต่อมาโจทก์ขู่เข็ญจำเลยให้เปลี่ยนแปลงสิทธิในการเดินเข้าออกเป็นนำรถยนต์เข้าออกซึ่งโจทก์ไม่เคยใช้มาก่อน และไม่สามารถทำได้เพราะทางภารจำยอมเป็นทางแคบ การกระทำของโจทก์เป็นการเพิ่มภาระแก่ที่ดินของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดกั้นปากทางภารจำยอมให้หมดเพื่อให้โจทก์นำรถยนต์แล่นเข้าออกได้ ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ อันจะทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลง คำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความตามคำเบิกความของพันโทจำนงค์พยานจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิมและเป็นผู้จดทะเบียนภารจำยอมว่า สภาพทางเดินภารจำยอมก่อนที่จำเลยจะปรับปรุงขึ้นกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ60 เมตร ตรงกลางทางเดินมีเสาไฟฟ้าปักไว้ 1 ต้น ใช้ประโยชน์เพื่อขึงสายไฟฟ้าต่อไปตามบ้าน ประตูบ้านโจทก์รถยนต์เข้าไม่ได้ ตรงปากทางภารจำยอมด้านที่ติดกับตรอกวัดบางสะแกนอกพยานได้ปักเสาหน้ากว้างด้านละ 5 นิ้ว ไว้ตรงกึ่งกลางทางเดิน สูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้รถยนต์แล่นเข้าออกหลังจากที่จดทะเบียนภารจำยอมแล้ว โจทก์เคยไปติดต่อกับพยานจะขอทำถนนทางภารจำยอมไปบ้านโจทก์ แต่พยานไม่อนุญาต เมื่อพยานขายที่ดินและบ้านให้จำเลยแล้ว ในการขนย้ายสิ่งของออกไปอยู่บ้านใหม่พยานก็ใช้คนขนออกไปกองไว้ แล้วขนขึ้นรถยนต์ที่ข้างนอก เสาที่ปักไว้ตรงกลางปากทางเดินและเสาไฟฟ้าที่ปักอยู่กลางทางเดินเพิ่งถอนย้ายออกไป เมื่อจำเลยจะปรับปรุงทางภารจำยอม ศาลฎีกาเห็นว่าคำเบิกความของพยานปากนี้นอกจากจะสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยแล้วพยานปากนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมสำนักงานกับโจทก์ รักใคร่ชอบพอกับโจทก์เป็นอย่างดีก่อนที่โจทก์จะซื้อที่ดินแปลงสามยทรัพย์ โจทก์ก็ได้ขออาศัยปลูกบ้านอยู่บนที่ดินแปลงที่ซื้อมาก่อนประมาณ 10 ปี โดยพันโทจำนงค์ไม่ได้คิดค่าตอบแทนอะไรเลยคำเบิกความของพยานปากนี้จึงมีน้ำหนักในการรับฟังมาก คดีฟังได้ว่าทางภารจำยอมนี้เป็นทางกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตร เจ้าของภารยทรัพย์มีเจตนาโดยชัดแจ้งที่จะให้ใช้ทางนี้เป็นทางเดินเท้าเท่านั้น และโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ก็รู้เจตนาดังกล่าวดีอยู่แล้ว การที่โจทก์จะใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกในทางภารจำยอมอันจะต้องใช้ทางกว้างขึ้นจึงเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ แม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะมีรถยนต์เป็นเหตุให้โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ผ่านทางภารจำยอม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1388 และ 1389 คำพิพากษาฎีกาที่ 1730/2503ที่ศาลอุทธรณ์อ้างมาในคำพิพากษาและโจทก์ยกขึ้นอ้างในคำแก้ฎีกานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ จะนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานในคดีนี้หาได้ไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น