แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาจริง แต่ไม่ได้รับเงินไปสัญญากู้ไม่สมบุรณ์ตามกฎหมายดังนี้ เมื่อในสัญญากู้ข้อ 1 มีความชัดว่าจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยได้รับเงินไปตามสัญญาแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้อย่างใดที่จะหักล้างได้ก็ต้องเป็นหน้าที่จำเลยนำสืบเพราะถ้าไม่มีการสืบกันแล้ว ข้อเท็จจริงก็อันเป็นอันยุติว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ และรับเงินไปตามที่ปรากฎในสัญญานั้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยร่วมกันกู้เงินของโจทก์ไป ๓,๐๐๐ บาท แล้วไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยชำระต้นเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยรวม ๓๘๒๕ บาท
จำเลยทั้ง ๔ ให้การร่วมกันว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริง แต่ไม่ได้รับเงินไปโจทก์ว่าจะจ่ายเงินให้ภายหลัง ก็ไม่จ่ายจนบัดนี้ สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นให้โจทก์นำสืบก่อน แต่ฟังข้อเท็จจริงตามคำพยานโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญาจริง และในสัญญาข้อ ๑ มีความชัดว่าจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว ดังนี้ ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยได้รับเงินไปตามสัญญาแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยมีข้อต่อสู้อย่างใดที่จะหักล้างได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบเพราะถ้าไม่มีการสืบกันแล้ว ข้อเท็จจริงก็เป็นอันยุติว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ และรับเงินไปตามที่ปรากฎในสัญญานั้นแล้ว ซึ่งจำเลยจะต้องแพ้คดีก่อนโจทก์
ในข้อเท็จจริงของจำเลย ฟังหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ จึงพิพากษายืน