คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เอาที่ของโจทก์ราคา 900 บาทไปขายให้จำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าที่เป็นของโจทก์และสัญญาซื้อขายใช้ไม่ได้ ขอให้เพิกถอน ศาลชั้นต้นฟังว่าที่เป็นมฤดกตกทอดให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ได้รับซื้อและรับโอนโดยสุจจริต จึงพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ก็รับโอนโดยสุจจริต จึงพิพากษายืนดังนี้ ถือว่าเรื่องที่ซื้อขายที่พิพาทโดยสุจจริตหรือไม่ เป็นอันยุตติแล้ว ข้อฎีกาของโจทก์ที่ขอให้วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จึงไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะชี้ขาด เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับมฤดกที่บ้านราคา ๙๐๐ บาทจากบิดาโจทก์ นางพร้อยจำเลยที่ ๑ สมคบกับจำเลยที่ ๒ โกงโจทก์ โดยนางพร้อยจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ ๆ ซื้อไว้โดยไม่สุจจริต ขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ และทำลายนิติกรรมซื้อขาย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นมฤดกตกทอดให้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ด้วยและวินิจฉัยว่า การซื้อขายระหว่างจำเลยเป็นการสุจจริต โจทก์จะให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของนางพร้อยจำเลยที่ ๑ โดยเป็นมฤดกตกทอดจากบิดาจำเลยที่ ๑ ตามที่จำเลยนำสืบและวินิจฉัยว่า แม้จะฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่คดีฟังได้ว่า การซื้อขายระหว่างจำเลยเป็นการสุจจริต จึงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา, ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาฉะเพาะประเด็นที่เกี่ยวกับนางพร้อยจำเลยที่ ๑ เท่านั้น ส่วนที่เกี่ยวกับนางปิ่นจำเลยที่ ๒ วินิจฉัยว่า ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลล่างพิพากษาต้องกันว่า นางปิ่นจำเลยที่ ๒ ได้รับซื้อที่ดินพิพาทไว้โดยสุจจริต ย่อมได้กรรมสิทธิ์เด็ดขาดแล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับนางพร้อยจำเลยที่ ๑ ว่าที่ดินเป็นของโจทก์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวสิทธิระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ ซึ่งศาลล่างทั้งสองยังหาได้ชี้ขาดทีเดียวไม่ ฉะเพาะ+นี้จึงยังหาเสร็จสิ้นไปไม่ หากศาลฎีกาจะชี้ขาดว่าโจทก์เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ก็จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำขอโจทก์ไม่ได้ หากโจทก์ยังติดใจกับจำเลยที่ ๑ อยู่อีก ก็ชอบที่จะว่ากล่าวกันต่างหากอีกเรื่องหนึ่ง จึงพิพากษา ให้ยกฎีกาโจทก์

Share