แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า คดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรที่จะฎีกา จึงไม่อนุญาต ให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถา ยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์ จะฎีกาให้นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาวางศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นถือว่าจำเลยไม่ติดใจที่จะยื่นฎีกา จำเลยเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ฎีกาของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและฎีกาของจำเลยมีมูลและมีเหตุผลสมควรที่จะชนะคดีได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถาด้วย หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 151) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยโดยให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สิน และบริวารและรื้อถอนบ้านส่วนที่ต่อเติมออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 200 บาท นับแต่เดือนที่ฟ้อง (ตุลาคม 2532) เป็นต้นไปจนกว่า จำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 131,130,147) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 148)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยให้การว่าเดิมนางชุ่มชื่นสุคนธรสเจ้าของที่พิพาทให้จำเลยอยู่อาศัยในที่พิพาท ในปี 2507นางชุ่มชื่นขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ก็ให้จำเลยอยู่อาศัยในที่พิพาท ต่อมา ในปี 2508 โจทก์ได้ยกที่พิพาทให้จำเลยจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา ในชั้นฎีกาจำเลยกล่าวอ้างในฎีกาตามที่จำเลย นำสืบว่า ในปี 2507 นางชุ่มชื่นได้ยกที่พิพาทให้จำเลยต่อมาเมื่อนางชุ่มชื่นขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ก็ยอมยกที่พิพาทให้จำเลยเช่นเดียวกันนางชุ่มชื่น ซึ่งต่างไปจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา อย่างคนอนาถานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ของจำเลย หากจำเลยยังติดใจฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ก็ให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระค่าศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้ การอุทธรณ์คำสั่ง เกี่ยวกับเรื่องอนาถาคู่ความไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม จึงให้คืนค่าคำร้อง 40 บาท แก่จำเลย