แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา หากให้โจทก์บังคับคดีในระหว่างนี้จำเลยจะได้รับความเสียหาย โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 72)
กรณีสืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีต่อศาลหลายครั้งครั้งสุดท้ายได้โทรศัพท์แจ้งต่อศาลตอนเข้าขอเลื่อนคดีอ้างว่ารถยนต์ขัดข้อง ศาลชั้นต้นรอจนถึงบ่ายทั้งทนายและจำเลยที่ 1 ซึ่งจะมาเบิกความต่อศาลก็ยังไม่มา แต่ทนายจำเลยที่ 2 ที่ 3 แถลงต่อศาลว่ายังติดใจสืบจำเลยที่ 1 ทั้งนี้แล้วแต่ศาลจะพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งโดยถือว่าจำเลยทั้งสามไม่ติดใจสืบพยานเนื่องจากจำเลยทั้งสามได้แถลงไว้ในนัดที่แล้วว่าหากนัดนี้ไม่มีพยานมาก็ให้ถือว่าไม่ติดใจสืบ คดีเสร็จการพิจารณาให้นัดฟังคำพิพากษา ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและคำสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยอ้างเหตุว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์สำหรับหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 4,885,994.05 บาท กับดอกเบี้ยไม่ทบต้นร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2530เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น หนี้ดังกล่าวนี้ให้จำเลยที่ 2รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน 3,450,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 เมษายน2528 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2530 และดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงิน 3,450,000 บาท ซึ่งรวมดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าวเข้าด้วยแล้ว นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นถ้าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์ที่จำนองประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระให้บังคับจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ต่อไป จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน แต่จะบังคับทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ได้เพียงไม่เกินจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมด้วยดังกล่าวแล้วเท่านั้น สำหรับหนี้เงินกู้ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้โจทก์จำนวน 10,019,347.13 บาท กับดอกเบี้ยไม่ทบต้นร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 8,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น หนี้ส่วนนี้ให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ชำระเงิน 2,000,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นและให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายภูษิตปาลวัฒน์กับจำเลยที่3ในฐานะทายาทของนายวิศิษฐ์วะศินรัตน์ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1(ในฐานะส่วนตัว) ชำระหนี้เงินกู้เป็นเงิน 6,000,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 6,000,000 บาท นับแต่วันที่ 12 กันยายน 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น แต่ในส่วนหนี้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายภูษิตปาลวัฒน์ และจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายวิศิษฐ์วะศินรัตน์ ที่ตกได้แก่จำเลยที่ 3 ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามส่วนความรับผิดดังกล่าวให้ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ที่จำนองประกันหนี้เงินกู้ตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้บังคับทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามต่อไป จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน แต่จะบังคับทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่ทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 2 ได้เพียงเท่าหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดดังกล่าว
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี คำสั่งงดสืบพยานจำเลยและคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 69,67)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เมื่อพิจารณาราคาทรัพย์สินที่จำนองประกอบแล้วถ้าจำเลยที่ 1 หาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมด้วยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟังคำสั่งนี้และต่อไปอีก 2 ปีหรือถ้าจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 หาประกันสำหรับจำนวนเงินส่วนที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมดอกเบี้ยคิดถึงวันทราบคำสั่งนี้ และต่อไปอีก 2 ปี มาวางศาลจนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้จำเลยทั้งสามหรือจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 แล้วแต่กรณีทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง