แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่ได้แก้ไขใหม่ จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ก่อนที่โจทก์จะจดทะเบียนซื้อขาย จำเลยย่อมเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองตามกฎหมาย จำเลยไม่จำต้องแสดงเจตนาเพื่อแย่งการครอบครองต่อโจทก์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่มที่ 3 หน้า 27สารบบเล่ม 2 หน้า 433 ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลนาเฉลียงอำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ และให้จำเลยชำระเงินค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยพร้อมบริวารจะออกไปจากที่ดินดังกล่าว ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 90)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล (อันดับ 92)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ประกอบด้วยมาตรา 247 และมาตรา 252ผู้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาจะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งแต่คดีนี้ปรากฏว่าจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาโดยไม่ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตราดังกล่าว คำร้องของ จำเลย เป็นคำร้องที่ไม่ชอบ จึงให้ยกคำร้องของ จำเลย