คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบนั้น แม้ขณะยื่นคำร้องผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางนั้น แต่เมื่อในระหว่างพิจารณา กรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางได้โอนไปยังจำเลยแล้ว ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิที่จะร้องขอคืน ชอบที่ศาลจะยกคำร้องของผู้ร้อง

ย่อยาว

เดิมคดีนี้ศาลจังหวัดเลยพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ให้ปรับและริบรถยนต์ของกลาง ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง ตัวแทนผู้ร้องได้ให้จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยเอาไปใช้กระทำผิด ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้อง

โจทก์ไม่คัดค้าน และไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ฟังว่า กรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางโอนไปยังจำเลยที่ 1 แล้ว เพราะจำเลยที่ 1 ชำระราคาเช่าซื้อรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องครบถ้วนแล้ว ขณะศาลมีคำสั่ง ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงไม่มีสิทธิร้องขอคืน ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางอยู่ในขณะยื่นคำร้อง แต่ในระหว่างพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้ชำระราคารถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องครบถ้วน ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อแล้วกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางจึงโอนไปยังจำเลยที่ 1 แล้วตั้งแต่วันชำระราคาครบถ้วน ตามสัญญาเช่าซื้อแม้ทะเบียนรถยนต์ของกลางจะมีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของอยู่ ก็ไม่ทำให้ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายแพ่ง เป็นแต่เพียงเรื่องการควบคุมการใช้ยานพาหนะเท่านั้น เมื่อผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางเสียแล้ว ผู้ร้องก็หมดสิทธิที่จะร้องขอคืน ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share