แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์จริง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 132,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 100,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
โจทก์จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกาว่า “ฎีกาที่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบสามารถรับฟังได้ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์จริงตามฟ้อง ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินตามฟ้อง โจทก์จะฎีกาโต้เถียงว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องจริง ย่อมเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง”