แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 และศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานผิดไปจากท้องสำนวนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ นายโพธิ์วรรณปักษ์ ทนายจำเลยแถลงคัดค้านว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้วและอ้างว่าโจทก์ได้ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 2 ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ใดเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ผู้รับมอบอำนาจและทนายโจทก์จึงไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลได้ การที่ทนายโจทก์ ยื่นฎีกาเป็นการหลอกลวงศาลให้หลงเชื่อว่า โจทก์มีชีวิตอยู่ เป็นการแจ้งเท็จและเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล เข้าลักษณะความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมาย ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อม ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่า ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยได้ตั้ง นายโพธิ์วรรณปักษ์ เป็นทนาย (อันดับ 190 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่เช่า ส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าเสียหาย พร้อมดอกเบี้ย ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรมนายประจวบ อ่ำทองอยู่ ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 179)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 181)
วันนัดพร้อม ทนายโจทก์แถลงรับว่า นายสนองถึงแก่กรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 จริง แต่โจทก์ได้นำสืบไว้แล้วว่านายสนองเป็นผู้รับมอบอำนาจทั่วไปจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศิริรัตน์บุศบง กับพวก โดยให้นายสนองมอบอำนาจช่วงได้ ซึ่งคดีนี้นายสนองได้มอบอำนาจช่วงให้นายพรศักดิ์เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทนนายพรศักดิ์ จึงมีอำนาจดำเนินคดีนี้ต่อไปได้ ทนายจำเลยแถลงคัดค้านว่า โจทก์ถึงแก่กรรมเกินกว่า 1 ปี ไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ ทนายโจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้ต่อไป ขอให้ศาลจำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งศาลฎีกาสั่ง (อันดับ 197)
คำสั่ง
ทนายโจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งขอให้รับฎีกา ตัวโจทก์ มรณะเป็นเวลาเกิน 1 ปี โดยไม่มีบุคคลใดเข้าเป็นคู่ความแทน
จึงให้จำหน่ายคำร้องโจทก์ออกจากสารบบความศาลฎีกา