แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า อุทธรณ์ของ จำเลยในข้อ 2.3 วรรคสอง เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมา และไม่เป็นประเด็น ส่วนอุทธรณ์ในข้ออื่น ๆ เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้าม ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2.3 วรรคสองนั้น ศาลแรงงานกลางได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทแล้วและจำเลยก็ได้ถามค้านอันเป็นการยกขึ้นว่ากล่าวในศาลแรงงานกลางแล้ว และอุทธรณ์ข้อ 2.3 วรรคแรก เป็นเรื่องการแปลความหรือตีความ ตามปัญหาจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนอุทธรณ์ข้อ 2.1 ในประเด็น ที่ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ และอุทธรณ์ข้อ 2.2เป็นเรื่องที่ว่าศาลแรงงานกลางนำข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัย คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 58) ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 176,186.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 1 กรกฎาคม 2537) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์ แล้วเสร็จ จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย (อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 54)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยข้อ 2.3 วรรคสองที่ว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อหน้าที่ เป็นอุทธรณ์นอกเหนือจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลาง ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยในข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นอุทธรณ์หยิบยกพยานหลักฐานขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจ การรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31,54 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง