คำสั่งคำร้องที่ 807/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฎิเสธ ไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรก ไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลสองร้อยบาทให้จำเลย จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง 2 ฉบับ คือ อุทธรณ์คำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536 และอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสองเห็นว่าถึงที่สุดเฉพาะคำสั่งในคำร้องฉบับลงวันที่ 15 ตุลาคม 2536 แต่ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 28 กันยายน 2536 ที่จำเลยทั้งสองขอขยายเวลายื่นอุทธรณ์นั้นยังไม่ถึงที่สุด เพราะคำสั่งที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน นับแต่ วันที่ 28 กันยายน 2536 ซึ่งยังไม่ครบกำหนดอุทธรณ์เพราะจำเลยทั้งสองยังมีเวลาตามกฎหมายถึงวันที่ 30 กันยายน 2536 เวลาที่เหลืออีก 2 วัน เป็นเวลาที่จำเลยทั้งสองยังคงมีสิทธิ ตามกฎหมายอยู่ การที่ศาลให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน นับวันที่มีคำสั่งจึงให้ขยายเพียง 13 วัน มิใช่ 15 วัน ตามที่อนุญาต การที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 15 วัน จึงต้องนับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้น รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมถนนคอนกรีตทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ยาว 24 เมตร ซึ่งอยู่ในที่ดิน โฉนดเลขที่ 11243 แขวงบางปะแก้ว (บางปะแก้วนอก)เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติ ตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการ แสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดรั้วสังกะสี และสิ่งกีดขวางออกจากด้านหลังตึกแถวเลขที่ 724/4 ของโจทก์ โดยให้ จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน ชำระเงิน 11,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 7 มิถุนายน 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะร่วมกันชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายวันละ 100 บาท แก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสอง จะเปิดแนวรั้วสังกะสีและสิ่งกีดขวางด้านหลังตึกแถวของโจทก์ออกไป จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป อีก 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายระยะเวลา ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ (วันที่ 28 กันยายน 2536) ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2536 จำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งสอง ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2536 จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จึงไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่า จำเลยทั้งสองอ่านลายมือศาลแล้ว เข้าใจผิดไปจากข้อความที่ศาลสั่งโดยเข้าใจว่าศาลมีคำสั่งอนุญาต ให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน นับแต่ วันครบกำหนดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นอุทธรณ์ออกไปอีก 30 วัน โดยมิได้ระบุว่า ขอให้นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์หรือนับแต่วันใด การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป 15 วัน นับแต่ วันมีคำสั่ง โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับที่จำเลยทั้งสอง ยื่นคำร้อง จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจเถียงว่าตนเองเข้าใจว่า ศาลชั้นต้นสั่งให้ขยายไป 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์ และที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าอ่านลายมือเขียนของศาลชั้นต้นไม่ออก ก็ไม่น่าเชื่อถือ เพราะศาลชั้นต้นเขียนคำสั่งไว้ชัดเจน พออ่านออกได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ พ้นกำหนดเวลาที่ขยายให้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 144) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 145)

คำสั่ง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฎิเสธ ของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย โดยเหตุว่าอุทธรณ์ของจำเลยยื่นล่วงเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งขยายเวลายื่นอุทธรณ์ แก่จำเลย อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 มิใช่ด้วยเหตุเนื้อหาในอุทธรณ์ของจำเลย ต้องห้ามอุทธรณ์อันจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตามนัยคำสั่ง ศาลฎีกา คำร้องที่ 2602/2534 ให้รับฎีกาของจำเลย ไว้ดำเนินการต่อไป

Share