คำสั่งคำร้องที่ 796/2530

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์นำยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ถอนการยึดทรัพย์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดทรัพย์สิน ของจำเลยที่ 2 ไว้ก่อน ดังนี้พอแปลคำร้องได้ว่าเป็นการร้องขอ คุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ให้งดการขายทอดตลาด หรือจำหน่ายทรัพย์สินระหว่างฎีกา

ย่อยาว

สืบเนื่องจากผู้แทนโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 จำนวน 3 รายการ รวมราคาประมาณ 94,097.50 บาท เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องต่อศาลโดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใดจำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ทุกประการมิได้ผิดสัญญา จึงไม่มีมูลหนี้ที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 การยึดทรัพย์จึงเป็นการไม่ชอบขอให้ศาลไต่สวน และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 2 ฎีกา และขอให้สั่งเจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ไว้ก่อน โจทก์ทั้งสี่แถลงคัดค้าน

ศาลฎีกาสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พอแปลคำร้องได้ว่า เป็นการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ให้งดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินระหว่างฎีกา”

Share