แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ยังไม่ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จนั้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หรือไม่ และโจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(1) แล้วเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น และการที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องไว้ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องด้วยเหตุต่างกันกับศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความความอาญา มาตรา 220 โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,188,341,352 และ 91
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานยักยอกขาดอายุความ ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 โจทก์บรรยายฟ้องขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 20)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 22)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง