คำสั่งคำร้องที่ 767/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์อุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอุทธรณ์ของโจทก์แม้จะอ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับอุทธรณ์ และสั่งคำร้องว่า เนื่องจากศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก
โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่า การนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสี่รับฟังได้เพียงใดคำรับของจำเลยทั้งสี่และการรับฟังพยานในคดีนี้ รับฟังได้มากน้อยเพียงใด และค่าทวงถามเป็นค่าเสียหายจากมูลละเมิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกาทั้งสิ้นขอศาลอุทธรณ์ (ที่ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 3)ได้ส่งไปยังศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินจำนวน 150 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากคดีนี้มี จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 228 วรรคแรก จึงไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาโจทก์ ยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา พร้อมกับอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า เนื่องจาก ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้อีก(อันดับ 49,51,52)
โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกามีคำสั่งว่าพิเคราะห์แล้วที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของ โจทก์ไปโดยมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับอุทธรณ์ฉบับที่สองของโจทก์ที่ยื่นมาพร้อมคำร้องด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิวรรคแรกให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี (อันดับ 61)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ฉบับหลังดังกล่าว (อันดับ 52)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 63)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์อุทธรณ์ฉบับที่สองเมื่อวันที่16 กันยายน 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2537 ตามคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 2301/2536กรณีต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ได้สั่งคำร้องของ โจทก์ที่ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาซึ่งได้สั่งเมื่อวันที่16 กันยายน 2536 นั้น มีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำร้อง ซึ่งคำสั่งนี้เป็นที่สุด และต้องถือว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ได้ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิวรรคแรก การที่โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่11 กุมภาพันธ์ 2537 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวพอแปลได้ว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 จึงให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำร้องนี้ให้จำเลยทั้งสี่แล้วส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป

Share