แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า อุทธรณ์จำเลยเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าบ้านทวดทอง จำนวน 670.52 บาทเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่ม ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 8032/2/100015 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้ว ได้เงิน ภาษีและเงินเพิ่มซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์พิพาทชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์จำเลยในประเด็นนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ส่วนอุทธรณ์จำเลยเกี่ยวกับรายได้จากการรับเหมาขาดบัญชี เป็นเงินจำนวน 66,180 บาท นั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่ม ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ 8032/2/100016 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้วได้เงินภาษีและเงินเพิ่มซึ่งถือว่าเป็นทุนทรัพย์พิพาทชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท การที่จำเลยนำเงินจำนวน 66,180 บาท เป็นทุนทรัพย์อุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงิน จำนวนดังกล่าวมาคิดคำนวณเป็นเงินภาษีและเงินเพิ่มก่อนจึงเป็น การไม่ถูกต้อง เมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท อุทธรณ์จำเลย ในประเด็นนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 25 เช่นกัน จึงไม่รับอุทธรณ์จำเลยคืนค่า ขึ้นศาลทั้งหมด จำเลยเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและ วิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 บัญญัติว่า ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น หมายถึง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมิใช่พิพาทกันใน ชั้นอุทธรณ์ และคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นจำนวน 534,528 บาท ซึ่งเกิน 50,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้ รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษี เงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2531 ตามหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 8032/2/100017 ลงวันที่ 30 กันยายน 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 8032/2/100015 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการนำเงินค่าไฟฟ้าบ้านทวดทอง จำนวน 670.52 บาท มารวมประเมินว่าเป็นรายจ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี(3) และ (13) และเพิกถอนการประเมินภาษี เงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2532 ตามหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 8032/2/100018 ลงวันที่ 30 กันยายน 2535 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 8032/2/100016 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2535 เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการนำเงินค่าขายวัสดุ ก่อสร้างจำนวน 66,180 บาท มารวมประเมินว่าเป็นรายได้จาก การรับเหมาขาดบัญชี คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 92,93) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 96)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีภาษีอากรใดจะต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามความใน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ที่บัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สิน หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ห้ามมิให้ คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ฯลฯ” ซึ่งคำว่า “ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท” นั้น หมายถึงราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลภาษีอากร หาใช่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์ชำระภาษีอากรดังกล่าวซึ่งมีทุนทรัพย์เกินห้าหมื่นบาท คดีจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงให้รับอุทธรณ์ของจำเลย ให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินการต่อไป