แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าจำเลย ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีอื่น เจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์จึงขอเข้าว่าคดีที่เกี่ยวกับจำเลยตามความใน มาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 และ ขอถอนคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีของจำเลยในระหว่างฎีกาเพื่อ รับทรัพย์อันเป็นหลักประกันซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คืนเข้าไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ต่อไปได้
ย่อยาว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 16 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2526 ถึงวันฟ้อง (ไม่เกิน 11,572 บาทเท่าที่โจทก์ขอ) และนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกาและได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา โดยจำเลยที่ 1 นำพันธบัตรรวมจำนวนเงิน 280,000 บาท และสลากออมสินพิเศษจำนวนเงิน 40,000 บาท ของจำเลยที่ 1 มาวางเป็นหลักประกันและได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 ในคดีล้มละลายของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ล.53/2530 ผู้ร้องจึงขอเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 1 ต่อศาลฎีกาและเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอทุเลาการบังคับคดีอีกต่อไป จึงขอถอนทุเลาการบังคับคดีและขอรับทรัพย์อันเป็นหลักประกันซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 คืน เพื่อรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ต่อไป
ศาลฎีกาสั่งว่า “อนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีที่เกี่ยวกับ จำเลยที่ 1 ตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีตามขอ คืนหลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 นำมาเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีให้แก่จำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งอนุญาตให้ถอนการขอทุเลาการบังคับคดีไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสินทราบตามลำดับ”