แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 10 ทวิ วรรคแรก บัญญัติว่า ความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของ เข้าสำเร็จ และมาตรา 41 บัญญัติว่า การนำของเข้ามาเป็นอันสำเร็จ แต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเช่นนั้นได้เข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของจาก เรือหรือท่าที่มีชื่อส่งของถึงเรือ ล. นำของที่โจทก์สั่งซื้อเข้ามาในเขตท่าเรือกรุงเทพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2531ซึ่งเป็น ท่าเรือที่มีชื่อส่งของถึงและจะถ่ายของจากเรือ ความรับผิดในอัน จะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่โจทก์นำเข้าจึงเกิดขึ้นในวันที่17 กรกฎาคม 2531 เมื่อโจทก์ชำระค่าอากรขาเข้าสำหรับของที่ นำเข้าสำเร็จแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการตรวจปล่อยของไป และของนั้นได้ถูกไฟไหม้เสียหายหมดขณะที่อยู่บนเรือ ล. ก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าอากรขาเข้าที่ได้ชำระ ไปแล้วคืนได้ ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า (ฉบับที่ 7) ข้อ 2กำหนดให้ผู้นำเข้ายื่นแบบแสดงรายการค้าพร้อมกับการยื่นใบขนสินค้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และชำระภาษีในวันนำเข้าและ ป.รัษฎากรมาตรา 78 เบญจ(1) บัญญัติว่า วันนำเข้าในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าตามมาตรา 78 ตรี และมาตรา 78 จัตวา หมายความว่าวันที่ ชำระอากรขาเข้าพ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 10 วรรคแรก บัญญัติว่า การเสียภาษีให้เสียแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในเวลาที่ออกใบขนสินค้าให้ ซึ่งโจทก์ก็ได้ชำระค่าอากรขาเข้าแก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม2531 วันดังกล่าวจึงเป็นวันนำเข้าตาม ป.รัษฎากร มาตรา 78 เบญจ(1)โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลแก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยในวันดังกล่าว แม้ของ ที่โจทก์นำเข้านั้นจะถูกไฟไหม้เสียหายหมดขณะที่อยู่บนเรือ ซึ่ง โจทก์ยังไม่ได้รับการตรวจปล่อยของดังกล่าวไปก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิ แก่โจทก์ที่จะเรียกค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่ได้ชำระ ไปแล้วคืน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2531 โจทก์สั่งซื้อถ่านกรองซึ่งมีแหล่งกำเนิดที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 22,000กิโลกรัม ตามราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นเงิน 15,180 เหรียญสหรัฐอเมริกาผู้ขายได้ส่งสินค้ามาทางเรือ โจทก์ได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ราคาตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าของโจทก์ก่อนที่เรือบรรทุกสินค้าจะถึงท่าเรือกรุงเทพแต่เจ้าหน้าที่ได้ผ่อนผันการวิเคราะห์ วันที่ 17 กรกฎาคม 2531เรือบรรทุกสินค้าเดินทางเข้ามาที่ท่าเรือกรุงเทพ โจทก์จึงชำระค่าอากรขาเข้า ค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล รวมเป็นเงิน85,654 บาท ไปก่อนที่เจ้าพนักงานศุลกากรจะตรวจปล่อยสินค้าให้โจทก์ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2531 เกิดไฟไหม้เรือบรรทุกสินค้าและไหม้สินค้าของโจทก์ไปทั้งหมด การชำระภาษีจะกระทำต่อเมื่อสินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักรและไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับยกเว้นภาษี การที่สินค้าของโจทก์เสียหายไปก่อนที่จำเลยจะตรวจปล่อยและส่งมอบให้โจทก์โจทก์จึงไม่ต้องชำระค่าภาษีทั้งหมดแก่จำเลยตามเจตนารมณ์ของกฎหมายศุลกากรซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยต้องคืนเงินค่าภาษีจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ยอมคืนจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าภาษีไปจนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 6,723.25 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 92,377.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 85,654 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ยอมคืนเงินค่าภาษีอากรให้โจทก์เพราะความรับผิดในอันที่จะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าสำเร็จโจทก์นำเข้าสำเร็จเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2531 แม้สินค้าถูกไฟไหม้ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2531 โจทก์ก็ต้องชำระค่าภาษีอากร การตรวจปล่อยสินค้าเป็นขั้นตอนหลังจากเสียภาษีแล้ว อีกทั้งโจทก์สามารถยื่นขอให้ตรวจปล่อยสินค้าได้ทันทีที่ชำระภาษี แต่โจทก์ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานมาจนสินค้าถูกไฟไหม้ ทั้งการที่ไฟไหม้ดังกล่าวมิใช่อุบัติเหตุอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 โจทก์จึงขอคืนภาษีไม่ได้ นอกจากนี้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 จัตวา, 78 เบญจ (1), 79(6) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 20) ลงวันที่5 กุมภาพันธ์ 2517 ก็ให้ถือว่าสินค้าที่นำเข้ามีรายรับเกิดขึ้นตั้งแต่วันชำระอากรและสินค้าดังกล่าวมิได้อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 79 ตรี (15) ที่จะได้รับยกเว้นมิให้นำรายรับที่เกิดขึ้นมาคำนวณเสียภาษีการค้า จำเลยจึงไม่ต้องคืนค่าภาษีทั้งหมดแก่โจทก์และไม่ต้องเสียดอกเบี้ย โจทก์ทราบถึงสิทธิการเรียกคืนภาษี ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2531 แต่เพิ่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2532เกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ได้ความตามที่โจทก์จำเลยมิได้โต้เถียงกันว่า โจทก์ซื้อสินค้าจากต่างประเทศ นำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยทางเรือชื่อลี่เฮียง เรือลี่เฮียงเข้ามาในเขตท่าเรือกรุงเทพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2531 ท่าเรือกรุงเทพเป็นท่าเรือที่มีชื่อส่งของถึงและจะจ่ายของจากเรือ โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2531 และชำระค่าภาษีอากรแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยในวันเดียวกัน แต่โจทก์ยังไม่ได้รับการตรวจปล่อยสินค้าไป วันที่ 19 กรกฎาคม 2531 เกิดไฟไหม้เรือลี่เฮียงสินค้าของโจทก์ซึ่งอยู่บนเรือถูกไฟไหม้หมด โจทก์ขอรับค่าภาษีอากรคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนให้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงินค่าภาษีอากรพร้อมดอกเบี้ยคืนจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า สำหรับค่าอากรขาเข้านั้นพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 ทวิ วรรคแรก บัญญัติว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ และมาตรา 41 บัญญัติว่า ถ้ามีความจำเป็นด้วยประการใด ๆ เกี่ยวด้วยการศุลกากรที่จะกำหนดเวลาเป็นแน่นอนว่าการนำของใด ๆ เข้ามาจะพึงถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อไรไซร้ ท่านให้ถือว่าการนำของเข้ามาเป็นอันสำเร็จแต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเช่นนั้นได้เข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของจากเรือหรือท่าที่มีชื่อส่งของถึงข้อเท็จจริงปรากฏว่า เรือลี่เฮียงนำของที่โจทก์สั่งซื้อเข้ามาในเขตท่าเรือกรุงเทพเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2531 ซึ่งเป็นท่าเรือที่มีชื่อส่งของถึงและจะถ่ายของจากเรือ ดังนั้นความรับผิดในอันจะต้องเสียค่าภาษีสำหรับของที่โจทก์นำเข้าจึงเกิดขึ้นในวันที่17 กรกฎาคม 2531 เมื่อโจทก์ชำระค่าอากรขาเข้าสำหรับของที่นำเข้าสำเร็จแล้วยังไม่ได้รับการตรวจปล่อยของไป ของนั้นได้ถูกไฟไหม้เสียหายหมดขณะที่อยู่บนเรือลี่เฮียงก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าอากรขาเข้าที่ได้ชำระไปแล้วคืนได้ ส่วนค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลนั้น ประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า (ฉบับที่ 7) เรื่อง กำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าและชำระภาษีการค้าของผู้นำเข้าและผู้ส่งออกประกาศ ณ วันที่ 25ตุลาคม 2513 ข้อ 2 กำหนดให้ผู้นำเข้ายื่นแบบแสดงรายการค้าพร้อมกับการยื่นใบขนสินค้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และชำระภาษีในวันนำเข้าและประมวลรัษฎากร มาตรา 78 เบญจ บัญญัติว่า เพื่อประโยชน์แก่การจัดเก็บและชำระภาษีตามหมวดนี้ (1) วันนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าตามมาตรา 78 ตรี และมาตรา 78 จัตวา หมายความว่าวันที่ชำระอากรขาเข้า… พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคแรกบัญญัติว่า… การเสียภาษีให้เสียแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในเวลาที่ออกใบขนสินค้าให้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ชำระค่าอากรขาเข้าแก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2531 วันดังกล่าวจึงเป็นวันนำเข้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 เบญจ (1) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยในวันดังกล่าว เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแก่เจ้าหน้าที่ของจำเลยไปในวันที่ 18 กรกฎาคม 2531จึงเป็นการชำระที่ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว แม้ของที่โจทก์นำเข้านั้นจะถูกไฟไหม้เสียหายหมดขณะที่อยู่บนเรือ ซึ่งโจทก์ยังไม่ได้รับการตรวจปล่อยของดังกล่าวไป ก็ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะเรียกค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่ได้ชำระไปแล้วคืน ดังนั้น การที่จำเลยไม่คืนค่าภาษีอากรแก่โจทก์จึงชอบแล้วที่โจทก์อ้างว่าการนำเข้าจะสำเร็จต่อเมื่อมีการส่งมอบของที่นำเข้าไปโดยถูกต้องพ้นจากความอารักขาของพนักงานศุลกากรแล้ว โดยอ้างความในมาตรา 2 วรรคสิบเอ็ด ที่ว่า ผู้นำของเข้า หมายความรวมทั้งและใช้ตลอดถึงเจ้าของหรือบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ครอบครองหรือมีส่วนได้เสียชั่วขณะหนึ่งในของใด ๆ นับแต่เวลาที่นำของนั้นเข้ามาจนถึงเวลาที่ได้ส่งมอบให้ไปโดยถูกต้องพ้นจากความรักษาของพนักงานศุลกากรนั้น เห็นว่า บทกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงบทนิยามของคำว่าผู้นำของเข้า หาใช่บทนิยามของคำว่านำเข้าสำเร็จไม่…”
พิพากษายืน.