คำสั่งคำร้องที่ 636/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า ในการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น โจทก์ได้อ้างสำนวนคดีแพ่งของศาลจังหวัดนครสวรรค์หมายเลขแดงที่ 473/2515,474/2515,518/2515และ 125/2516 พร้อมสรรพเอกสารในสำนวน มาผูกพ่วงกับสำนวนคดีนี้เพื่อประกอบการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น และศาลได้มีคำสั่งอนุญาตแต่เนื่องจากยังหาสำนวนไม่พบ ดังนั้นในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่6 กรกฎาคม 2527 และวันที่ 28 สิงหาคม 2527 จึงไม่มีสำนวนดังกล่าวมาประกอบการสืบพยานโจทก์ และเนื่องจากต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นการด่วน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์ดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปก่อน หากหาสำนวนพบเมื่อไรจะได้นำมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้เป็นเหตุให้โจทก์ขาดพยานเอกสารสำคัญที่ทำให้พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอ้างว่าพยานโจทก์เบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานเอกสารประกอบว่าได้มีการทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้เป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันเกินกว่า 30 วัน และเบิกความลอย ๆ ว่าได้โอนทรัพย์สินไปหมดแล้วแต่ไม่สืบว่าโอนไปให้ใคร ซึ่งพยานเอกสารดังกล่าวปรากฏอยู่ในสำนวนและสรรพเอกสารในสำนวนที่โจทก์อ้างดังกล่าวข้างต้น บัดนี้ ได้ค้นพบสำนวนทั้งสี่ดังกล่าวแล้ว และได้ผูกติดกับสำนวนคดีนี้แล้วโจทก์จึงขอศาลฎีกาได้โปรดรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษา โดยโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ในศาลชั้นต้นและแถลงขออ้างสำนวนดังกล่าวมาผูกติดในการสืบพยานโจทก์ไว้และศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว หากศาลฎีกาจะมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารเพิ่มเติมโจทก์ก็ยินดีเสียค่าอ้างเอกสารตามระเบียบ แต่หากศาลฎีกาไม่รับฟังพยานเอกสารในชั้นฎีกา ก็โปรดรับคำร้องของโจทก์รวมสำนวนไว้เพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีด้วยเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมโปรดอนุญาต
หมายเหตุ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาล (อันดับ 108)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยไว้เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 14
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา (อันดับ 95)
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
โจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 103)

คำสั่ง
ตามคำร้องของโจทก์ พอเข้าใจได้ว่า โจทก์ขอให้ศาลฎีการับเอาสำนวนทั้งสี่ตามคำร้อง(ที่ศาลชั้นต้นผูกโยงติดมามีเพียง 3 สำนวน) ซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานไว้ตั้งแต่ในศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วแต่เพิ่งจะค้นหาสำนวนดังกล่าวพบนั้น เข้ามาเป็นพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้ด้วยศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้อ้างสำนวนเหล่านั้นเป็นพยานหลักฐานไว้แล้วโดยชอบ จึงให้ถือว่าสำนวนคดีดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ตามคำร้องของโจทก์ ส่วนค่าอ้างเอกสารนั้น ปรากฏว่าโจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไว้ในอัตราสูงสุด 200 บาทแล้ว จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารอีก

Share