แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หนี้ที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟ้องเรียกเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกกันได้ จึงต้องถือทุนทรัพย์แยกกันตามรายตัวของโจทก์เมื่อจำนวนหนี้ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 30,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 79,200 บาท ค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 60,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 14 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยที่ 1ชำระเงินค่าทำศพแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีเรื่องนี้โจทก์หลายคนฟ้องรวมกันมาในคดีเดียวกันเกี่ยวกับหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ต้องคิดแยกตามจำนวนหนี้ที่โจทก์แต่ละคนจะได้รับตามคำพิพากษาเมื่อคำนวณแล้วแต่ละคนไม่เกินคนละสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยที่ 1เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 มีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามรวมกัน พร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นฎีกาเกินสองแสนบาทก็น่าจะฎีกาได้แล้ว และกรณีเป็นเรื่องที่โจทก์หลายคนฟ้องรวมกันมาควรต้องถือทุนทรัพย์รวมในคดีทั้งคดีเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้ดำเนินการต่อไป
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “เห็นว่าหนี้ที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟ้องเรียก เป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกกันได้ จึงต้องถือทุนทรัพย์แยกจากกันตามรายตัวโจทก์ เมื่อจำนวนหนี้ตามสิทธิของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ”