คำสั่งคำร้องที่ 575/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า เมื่อโจทก์เปลี่ยนข้อตกลง จากเดิมที่ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เดือนละ 100,000 บาท เป็นเดือนละ 30,000 บาท โจทก์จะต้องถือเอาตามข้อตกลงใหม่ ดังกล่าว จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 100,000 บาท ไม่ได้ และหากศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษาจำคุก จำเลยก็สมควรให้รอการลงโทษแก่จำเลย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รับสารภาพลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง เรียงกระทงลงโทษรวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมเป็นจำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยกระทงละ 5 เดือน รวมสองกระทงจำคุก 10 เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 5 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 82) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมี ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลดโทษให้ กระทงละกึ่งหนึ่ง ลงโทษรวม 2 กระทง จำคุก 12 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลยรวม 2 กระทง 10 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 5 เดือน ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมาดังนี้จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย การที่จำเลย ฎีกาว่าโจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เดือนละ 100,000 บาท ซึ่งผิดไปจากข้อตกลงใหม่ที่ให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เดือนละ 30,000 บาท ไม่ได้ และสมควรรอการลงโทษให้จำเลยนั้น เป็นการฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของ จำเลย

Share