คำสั่งคำร้องที่ 434/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีมีทุนทรัพย์ พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงไม่รับฎีกา โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ในประเด็นที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอฟังว่าโจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยโดยมีเงื่อนไขห้ามโอนขายแลกเปลี่ยนจนกว่า โจทก์จะตายเสียก่อนตามฟ้อง ไม่ชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน และความยุติธรรม นายจงกล ครุธสอนเป็นพยานคนกลางเบิกความยืนยันแล้วศาลควรจะรับฟัง และเมื่อรับฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลย ตกลงกันไว้ก่อนที่โจทก์จะโอนที่ดินแก่จำเลยว่าจำเลยจะไม่โอน ขายแลกเปลี่ยนหรือยินยอมให้ผู้ใดถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดิน จนกว่าโจทก์จะตาย เป็นคำมั่นที่ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ประการใด ในเรื่องนี้ โจทก์อุทธรณ์ไว้แล้ว แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 102 แผ่นที่ 2-3) โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอน การให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 8938 ตำบลไทรม้าอำเภอเมืองจังหวัดนนทบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลย ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 96) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 98)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อชั่งน้ำหนักของ พยานทั้งสองฝ่ายแล้วควรรับฟังพยานฝ่ายโจทก์ว่าก่อนที่โจทก์จะไปจดทะเบียนยกที่พิพาทให้จำเลย ได้ตกลงกันไว้ว่าห้ามจำเลย โอนขายแลกเปลี่ยนให้หรือยอมให้ผู้ใดถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ พิพาทจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตายนั้น เป็นการโต้แย้งใน ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันถือว่าเป็น ข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อตกลงดังกล่าวถือว่า เป็นคำมั่นที่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้อง ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะเป็น ปัญหาข้อกฎหมาย แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะนำไปสู่การวินิจฉัย ในปัญหาที่ว่าได้มีข้อตกลงกันดังกล่าวจริงหรือไม่ อันเป็น ข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกา จึงมีผลเช่นเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ยกขึ้นเป็น ข้ออุทธรณ์แล้วว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นคำมั่น แต่ศาลอุทธรณ์ ไม่วินิจฉัย ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าไม่พอฟังว่าโจทก์ให้ที่พิพาทแก่จำเลยโดยมี เงื่อนไขจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าข้อตกลงหรือ เงื่อนไขเป็นคำมั่นที่จะต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ ซึ่งผลของการวินิจฉัยไม่เกิดประโยชน์ แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด ฎีกาโจทก์ในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระ แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share