แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ตามคำฟ้องฎีกาข้อ 2.5 ที่ว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่า ผู้มีชื่อในโฉนดย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยให้โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ในชั้นนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องแย้งของจำเลยเสีย แล้วสั่งใหม่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแก้ไขโดยเปลี่ยนชื่อทางทะเบียนในที่ดินโฉนดเลขที่ 26812 เลขที่ดิน 6505ตำบลบางบำหรุ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 58 ตารางวา ให้แก่โจทก์ หากจำเลยฝ่าฝืนให้ถือเอา คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยต่อไป
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรมนายธีรวัฒน์จุลกะสุทธิ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 146)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 151)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ว่า ผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยให้เป็น ปัญหาข้อกฎหมายนั้น ปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของตามที่ดินในโฉนดประเด็นข้อโต้เถียงจึงมีแต่เพียงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยหรือไม่ ซึ่งจำเลยได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทอยู่ในตัวแล้ว หาจำต้องวินิจฉัยอีกไม่ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่การวินิจฉัย ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง