แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาข้อ 2.2และ 2.4 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกา ข้อ 2.3เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับเป็นฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.2 และ 2.4 เป็นการฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ มิได้วินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนข้อ 2.3 เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจาก ศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 107 แผ่นที่ 2) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,358,365 และมาตรา 371 การกระทำของจำเลย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควรตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้ปรับ 100 บาท รวมเป็นโทษ จำคุก 3 ปี และปรับ 100 บาท ให้ริบอาวุธมีด ท่อนเหล็ก ไม้กระบองของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด หากจำเลยไม่ชำระ ค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 103) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 107 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2.3 จำเลยฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่มิได้ให้เหตุผลโต้แย้งในรายละเอียดว่าไม่ชอบด้วยประการใดบ้าง จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง อันควรจะได้รับการวินิจฉัย ส่วนข้อ 2.2 จำเลยฎีกาโต้แย้ง ดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นปัญหา ข้อเท็จจริงและข้อ 2.4 จำเลยฎีกาว่าเมื่อรับสารภาพแล้วศาล ควรลดโทษให้ การจะลดโทษให้จำเลยหรือไม่เพียงใดเป็นดุลพินิจ ของศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น จำคุกกระทงละ 1 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา จำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง