คำสั่งคำร้องที่ 2990/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับเป็นฎีกา เฉพาะประเด็นฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนประเด็นอื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ไม่รับ
จำเลยเห็นว่า คดีนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับการโต้เถียงกันด้วยเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และจำเลย ได้ต่อสู้ในประเด็นเรื่องครอบครองโดยปรปักษ์แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวให้แก่จำเลย จึงเป็นการ ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามกฎหมาย และปัญหานี้เป็นข้อกฎหมาย จำเลยมีสิทธิฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในประเด็นอื่น ๆ ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 201)
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ถึงแก่กรรมนางเตือนใจ อินทร์จันทร์ เป็นบุตรและทายาทโดยชอบธรรมยื่นคำร้องขอเข้ารับมรดกความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ 958 ตำบลหัวสะพานอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ออกไปให้พ้นเขตที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 20 บาท นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2529 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำ ออกไปจากที่ดินโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 189)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยเสียค่าคำร้องมา 200 บาท(อันดับ 196)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์จำเลยโต้เถียงกันว่าที่ดินพิพาทซึ่งมีราคาประมาณ 6,000 บาท เป็นของโจทก์หรือของจำเลยจึงเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534)ฎีกาของจำเลยนอกจากปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่แล้ว ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้ออื่น คงรับแต่ฎีกาในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จึงชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้าง ในคำร้องว่า ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลย ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ ได้ฟังข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์แล้วว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปล้อมรั้วในที่ดินพิพาทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2529 จึงเท่ากับวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทไม่ถึง 10 ปีการที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมากกว่า 60 ปี จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามเช่นเดียวกัน
คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share