แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีตรงข้ามกับพยานหลักฐานในสำนวน และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับวันเวลาที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดในทางพิจารณาต่างกับฟ้องถือว่าเป็นสาระสำคัญในการกระทำผิด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 มาตรา 19,27 ปรับ 1,000 บาท ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 81)จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 82)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์เชื่อประจักษ์พยานปากหนึ่งว่าเห็นเหตุการณ์ ที่จำเลยนำสืบว่าประจักษ์พยานดังกล่าวไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นข้ออ้างที่ไร้สาระเท่ากับศาลอุทธรณ์เชื่อประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าว การที่จำเลยฎีกาว่าประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ การรับฟังพยานดังกล่าวมาลงโทษจำเลยจึงไม่ถูกต้อง เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาเกี่ยวกับวันเวลาเกิดเหตุต่างกับฟ้องเป็นข้อสำคัญศาลต้องพิพากษายกฟ้องนั้น ตามข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ฟังว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 0.20 นาฬิกา จากวันที่24 ธันวาคม 2530 ย่างเข้าวันที่ 25 ธันวาคม 2530 ซึ่งตรงตามที่โจทก์ฟ้องแล้วว่าเหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2530 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงไม่ต่างกับฟ้อง ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย