แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในสัญญาขายฝากข้อ 4 มีว่าผู้ซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากเช่าทรัพย์ที่ขายฝากและระบุค่าเช่าไว้ด้วยและภายหลังก็มีการเช่าต่อกันดังนี้ถือว่า ข้อความเช่นนั้นเป็นสัญญาเช่า มิใช่เป็นเพียงคำเสนอ.
ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกให้แก่ผู้ให้เช่า และต้องคิดราคาในขณะที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่า.
(อ้างฎีกาที่ 143/2491)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากไว้กับโจทก์สัญญาไถ่คืนภายในกำหนด ๕ ปี ทำกันที่อำเภอและในสัญญานั้นจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่นาที่ขายฝากจากโจทก์ด้วย โดยคิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือก จำเลยเช่าแล้วก็ทำเรื่อยมา จำเลยค้างค่าเช่ารวมข้าว ๑๑ เกวียน จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่าได้ขายฝากนาไว้แก่โจทก์จริง แต่หาได้ทำสัญญาเช่าไม่ ในสัญญาขายฝากข้อ ๔ มีความว่า “ผู้รับซื้อฝากสัญญาว่าในระหว่างเวลาผู้ขายฝากยังมีสิทธิไถ่คืนได้ ข้าพเจ้าผู้รับซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากเช่าที่ดินในสัญญานี้ทำนา โดยคิดค่าเช่าปีหนึ่งเป็นข้าวเปลือก ๗๐๐ ถัง ” ดังนี้ เป็นคำเสนอฝ่ายเดียว เมื่อไม่มีคำสนองก็หาผูกพันจำเลยไม่ และต่อสู้ว่าราคาข้าวเปลือกที่โจทก์กะ ก็สูงมาก ก่อนชี้สองสถาน ศาลอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๔๘๙ จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่านาแปลงที่ฟ้องให้ไว้แก่โจทก์อีกฉะบับหนึ่ง มีกำหนด ๑ ปี คิดค่าเช่าให้ปีหนึ่งเป็นข้าว ๗๐๐ ถัง จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ลงชื่อในสัญญาเช่านั้นศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อ ๔ แห่งสัญญาขายฝากถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษรย่อมเป็นเพียงคำเสนอ แต่เมื่อเพ่งเล็งเจตนาอันแท้จริงจากพฤตติการณ์และความจริงที่ได้ปฏิบัติต่อกันในเวลาต่อมา จะเห็นได้ชัดว่าคู่กรณีมีเจตนาจะให้เป็นสัญญาเช่าต่อกัน
ส่วนปัญหาเรื่องราคาข้าวเปลือก ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระเป็นค่าเช่าให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า จะต้องคิดตามราคาในขณะโจทก์ฟ้อง
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระค่าเช่านาที่ค้าง รวมเป็นเงิน ๓๘๕๐ บาท.