แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นการฎีกา ในข้อเท็จจริงทั้งหมด ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248(แก้ไขใหม่)จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าตามลักษณะการขนของรถยนต์ทั้งสองคันเป็นการกระทำผิดของนายวิชัยยุทธธรรมรัตน์ผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์แต่เพียงผู้เดียวเมื่อนายวิชัยยุทธไม่ได้พิสูจน์ว่า อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด และที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยแล้วว่าคู่กรณีมีความประมาทเท่ากัน คู่กรณีจะเรียกร้อง ค่าเสียหายซึ่งกันและกันไม่ได้ คำรับของจำเลยในชั้น พนักงานสอบสวนก็รับฟังไม่ได้ ดังนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 60,455 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 58,981 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชดใช้ ให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 29,990.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 99)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ แต่มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 100)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีส่วนประมาทตามฎีกา ข้อ 2 ก และไม่ได้กระทำผิดตามฎีกาข้อ 2 ข. และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีความประมาทรวมอยู่ด้วยจึงกำหนดให้จำเลยรับผิดในความเสียหายครึ่งหนึ่งนั้น จำเลยฎีกาว่าโจทก์จำเลยประมาทเท่ากันจำเลยไม่ต้องรับผิดตามฎีกาข้อ 2 ค.ล้วนเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นคดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง