แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่าการจับกุมและตรวจค้นจำเลยของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวเบิกความเป็นพยานต่อศาลไม่พอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายและจำเลยมีสิทธิฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษแก่จำเลยได้เพราะไม่ใช่โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 ให้จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 54)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า การจับกุมและตรวจค้นจำเลยของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพยานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ล้วนเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ทั้งมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง