แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามฎีกาของจำเลย อ้างปัญหาข้อกฎหมายแต่เพื่อขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยใช้ดุลพินิจ เพื่อรอการลงโทษอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามกฎหมาย ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 61) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7,8,15,67,102จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และบวกโทษที่รอไว้ 15 วัน ตามคำพิพากษาของศาลแขวงพระโขนงและโทษที่รอไว้อีก 15 วัน ของศาลแขวงพระโขนงเป็นจำคุก 1 ปี 30 วัน ของกลางริบ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 56) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง พิเคราะห์ฎีกาของจำเลยข้อ 2.2 ที่อ้างว่า เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และอ้างว่า ศาลชั้นต้นบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นการเพิ่มโทษนั้นเป็นการ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง