แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อที่ 2 ถึงข้อที่ 4 นั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้พิพาทกัน ในชั้นฎีกาทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกาของจำเลยตามข้อนี้ ส่วนฎีกาจำเลย ในข้อ 1 เป็นข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามจึงรับเป็นฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ 1 จำเลยเห็นว่า ฟ้องโจทก์นอกจากจะเรียกค่าเสียหายจำนวนทั้งสิ้น 141,687 บาท แล้ว โจทก์ยังขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนรากฐานอาคารบ้านจำเลยเฉพาะส่วนที่ติดกับรากฐาน อาคารบ้านโจทก์ต้นที่ 1 ถึง 3 และ 6 คำขอให้บังคับจำเลย ส่วนนี้เป็นคำขออันเป็นประธาน ส่วนคำขอให้ใช้เงินค่าเสียหาย นั้นเป็นวัตถุประสงค์รอง คดีนี้จึงเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ ที่ไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 153) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยรื้อถอนฐานรากอาคารบ้านจำเลย เฉพาะส่วนที่ติดกับฐานรากอาคารบ้านโจทก์ต้นที่ 1 ถึง 3 และ 6 ออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำที่ดินโจทก์ให้มั่นคงแข็งแรงเหมือนเดิม ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 80,000 บาท ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว(อันดับ 146) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 150)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอน ฐานรากอาคารของจำเลยส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ออกไป ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณ เป็นราคาเงินได้เป็นหลัก แม้โจทก์ขอให้ใช้ค่าเสียหายมาด้วย ก็ต้องถือเอาคำขอในส่วนที่ไม่มีทุนทรัพย์เป็นหลัก คดีจึง มิต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ให้รับฎีกาข้อ 2 ถึงข้อ 4 ของจำเลย